วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บันทึกการเดินทางครั้งแรกสู่ตราด-งานศพ-เสภา-ท่าเรือ

            "พี่..ย่าเสียแล้ว เมื่อซักพัก"

            ข้อความที่ส่งเข้ามาทางโทรศัพท์มือถือเืมื่อ 22-05-2011 เวลา 0.27 น. เมื่อเปิดดูแล้วก็อึ้งไปพอสมควร ซึ่งคุณรส ที่ส่ง SMS มาบอกเรื่องนี้ ได้บอกใน facebook ว่า คุณย่าพึ่งเสียไม่นาน หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวแสดงความเสียใจพร้อมสอบถามวันเวลาที่จัดงานศพ และบอกว่า น่าจะแวะไปร่วมงานศพได้ เพราะ 24 พ.ค. นายบอนมา กทม. และคงจะไปค้างที่จันทบุรี

            วันที่ 23 พ.ค. คุณรสบอกว่า งานศพวันสุดท้าย คือ บ่ายวันที่ 26 พ.ค.ไม่ใช่ 25 พ.ค.  และอยากให้มาร่วมงาน เลยตอบว่า ขอดูสถานการณ์ก่อนว่า จะติดอะไรไหม แล้วจะแจ้งยืนยันอีกที ซึ่งคุณรสก็โทรมาสอบถามบ่อยๆ ยิ่งใกล้วันคุณรสก็บอกกำหนดการแบบคร่าวๆ งานศพเสร็จราวบ่าย 2 โมง มีขบวนแห่ไปที่เมรุ ซึ่งคงไม่นานแล้วจะมาส่งนายบอนที่ท่าเืรือเฟอรี่ที่ข้ามไปเกาะช้าง ขึ้นรถตู้เข้า กทม. ได้ทันที มาถึงช่วงเย็นวันที่ 25 พ.ค. ก็ชักไม่แน่ใจว่า  ถ้าไปตราด ก็จะกลับถึงบ้านช้าอีก 1 วัน แล้ววันที่ 30 พ.ค.ต้องเข้ามาใน  กทม.อีก มีเวลาพักผ่อนน้อยเหลือเกิน  เลยบอกคุณรสทางโทรศัพท์ไปว่า คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ  คงจะรีบกลับโคราชแล้วต่อรถกลับกาฬสินธุ์ดีกว่า


            เช้าวันที่ 26 พ.ค. หลังจิบกาแฟยามเช้า คุณลุงสุเวศน์ถามว่าจะไปงานศพที่ตราดกี่โมง แล้วผู้จากไป ชื่ออะไร จะเีขียนเสภาให้ เพราะคุณลุงเคยเขียนเสภาให้ผู้จากไป เคยไปขับเสภาในงาน ได้มาหลายตังค์ และเจ้าภาพ+ผู้ร่วมงานประทับใจมากมาย นายบอนเลยโทรไปถามคุณรส ได้รู้ชื่อผู้จากไป  คือ คุณย่าลำใย โชติเสวตร์ อายุ 80 ปี พ่อ-แม่เสียตั้งแต่คุณย่ายังเล็กๆ  ต้องเลี้ยงน้อง 3 คน มีอาชีพทำสวน แต่งงานกับปู่พิศาล มีลูก 5 คน  ซึ่งปัจจุบัน ปู่พิศาลอายุ 83 ปี ยังมีชีวิตอยู่ ..นอกจากนั้นไม่มีอะไรโดดเด่น ชีวิตราบเรียบเหมือนชาวบ้านทั่วๆไป


            ลุงสุเวศน์ หยิบกระดาษ เขียนบทเสภาทันที เน้นกล่าวถึงจุดที่ดี ส่วนที่ไม่ดี ไม่เอามาพูดถึง เพื่อให้เกียรติแก่ผู้จากไป เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาที บทเสภาก็เสร็จเรียบร้อย และใหเอากล้องวิดีโอบันทึกการขับเสภาไว้อาลัย ในเวลา 8.00 น.


            หลังจากฟังการขับเสภาแล้ว แบบนี้ คงต้องไปร่วมงานศพที่ตราดแล้วล่ะ เอาเสียงขับเสภาของคุณลุงไปส่งให้ถึงที่ ซึ่งคุณลุงบอกว่า ถ้าให้ข้อมูลมากกว่านี้ ก็สามารถเขียนให้ละเอียดกว่านี้ได้อยู่แล้ว แล้วคุณลุงก็นั่งขับเสภานอกชานบ้าน รอบแรก ออกเสียงปิด จึงเริ่มต้นขับเสภารอบที่ 2 จนจบ พอเปิดฟังเสียงจากกล้องวิดีโอที่บันทึกไว้ มีเสียงมอเตอร์ไซต์วิ่งผ่าน ติดมาในวิดีโอที่บันทึกไว้ด้วย คุณลุงเลยขอบันทึกใหม่ แล้วลุกเข้าไปในบ้าน


            เข้ามานั่งบันทึกเสียงขับเสภาในบ้าน รอบที่ 3 มีเสลดในลำคอ ออกเสียงไม่เต็มที่ รอบที่ 4 มองบทเสภาที่เขียนใส่กระดาษแล้ว เห็นไม่ชัด เลยไปหยิบกระัดานมาเขียนตัวใหญ่ๆ ซึ่งคุณลุงเขียนได้ไว แล้วก็ตั้งกระดานขับเสภา เป็นรอบที่ 5 ซึ่งออกเสียงได้ไม่เต็มที่ เพราะเมื่อคืนคุณลุงไม่ค่อยสบาย เลยต้องไปจิบยาดอง ให้คล่องคอ แล้วมานั่งขับเสภารอบที่ 6 ซึ่งออกเสียงผิดนิดเดียว ก็ขอบันทึกรอบที่ 7 ซึ่งขับเสภาจนจบ ได้ดังใจ


            นายบอนรีบแปลงไฟล์วิดีโอ ในคอมพิวเตอร์ทันที คุณรสโทรมาถามอีกครั้งว่า จะออกมากี่โมง นายบอนเลยเปิดเสียงที่ขับเสภาให้เธอฟัง 1 ท่อน เธอก็บอกว่า โอเค ใช้ได้เลย นายบอนจึงรีบแปลงไป และเอาวิดีโอขับเสภาลงในอินเตอร์เนต ที่ http://suwet2487.blogspot.com/2011/05/26-2554.html    และจัดการ write CD เป็น Audio CD ซึ่งคุณลุงกฌลุกไปหาแผ่น CD เปล่า มาให้ write บทเสภาลงไป แล้วเอาไปเปิดในเครื่องเล่น CD-VCD เปิดเสีัยงจากลำโพงใหญ่ เสียงกระหึ่ม ฟังแล้ว ได้อารมณ์ในการไว้อาลัยอย่างยิ่ง ซึ่งคุณลุงบอกว่า นี่ยังร้องไม่เต็มเสียงเลยนะ เพราะยังป่วยอยู่ แต่เสียงที่ร้องออกมาก็ได้อารมณ์และเหมาะกับการไว้อาลัยแล้วครับ


            คุณรสโทรมาถามอีกครั้งว่า ออกจากบ้านหรือยัง 9.30น.บอกว่ากำลังเอาไฟล์ลงอินเตอร์เนต แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า นามสกุล สะกดยังไง เขียนถุกหรือไม่ เพราะเขียนว่า โชติเศวต แต่คุณรสบอกว่า ที่ถูกต้อง คือ "โชติเสวตร์" เลยต้องมาแก้ไขข้อมูลที่ลงในเวบไปแล้ว ส่วนคุณลุงซึ่งพึ่งเขียนลงชื่อในแผ่นซีดี ก็รีบแก้ไขนามสกุลให้ถูกต้องทันที


            10.00 น. คุณรสก็โทรมาถา่มอีก ออกเดินทางหรือยัง ..ยังอยู่ที่บ้านอยู่เลยก็ทำ CD ให้อยู่นี่แหละ แล้วคุณรสก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวไปรับที่จันท ไม่งั้นเดี๋ยวมาไม่ทัน ได้ยินแล้ว ทึ่งเหมือนกัน เจ้าภาพจะมารับไปร่วมงานด้วยตัวเองหรือนีี่  10.15 น. โทรไปถามเอง บอกว่า ออกมาแล้ว กำลังจะถึงแสนตุ้ง อืม คงอีกเกือบชั่วโมง เลยรีบอาบน้ำ กินข้าวรอ พอถึง 11.05 น. คุณรสก็โทรมาบอกว่า ใกล้จะถึงจันทบุรีแล้ว ให้ออกมารอที่่แยกพลับพลาได้เลย แต่คุณลุงบอกให้เข้ามาที่แสลง พร้อมบอกทางให้ คุณรสก็โทรมาสอบถามอีกสองสามครั้ง จนรถแล่นมาถึงหน้าบ้านของคุณลุงจนได้ ในเวลา 11.20 น.


            คุณลุงนึกว่า จะถอยรถเ้ข้ามาในบ้าน แต่รถจากตราดก็ขับเลยไปเพื่อกลับรถ ดูท่าทางแล้วคงจะรีบมากๆ คุณลุงเลยให้ถือ CD ขึ้นรถรีบเดินทางไปตราด คุณรสลงจากรถมายังไม่ได้ไปไหว้คุณลุง ก็ต้องรีบออกเดินทางทันที มีโทรศัพท์โทรมาตามตลอดช่วงการเดินทาง


            คุณรสนั่งรถมากับญาติสาวอีกคนซึ่งเป็นคนขับรถมาให้ ขับซิ่งทำเวลาอย่างมาก แ้้ล้วคุณรสก็ขอฟังซีดีที่คุณลุงขับเสภาในรถก่อน เปิดฟังไป เธอก็แอบป้ายขอบตาหน่อยนึง น้ำตาคงจะซึมนิดๆ หลังจากฟังเสภาครั้งแรก ส่วนคนขับก็ขับซิ่งทำเวลา จากแยกแสลง-ปากแซง ขับไปเรื่อยๆ จนถึงแสนตุ้ง และเลี้ยวเข้าไปยังแหลมงอบ ไ่ม่เข้าตัวเมืองตราด ระยะทาง 35 กม. เหยียบ แซง ซิ่ง จนมาถึงวัดบางปิดล่างในเวลา 12.20 น. แหม ขับรถไวจริงๆ

photo

photo


            เดินไปที่ศาลาวัดที่จัดงาน มองดูกำหนดการบำเพ็ญกุศลศพแล้ว  13.00 น. มาติกา-บังสุกุล 13.30 น.ประชุมเพลิง โห ไวมากๆ  แต่แขกมาร่วมงานตั้งแยะ คงจะเลยเวลาที่กำหนดไว้้บ้างล่ะ คุณรสพาไปไหว้คุณปู่ ที่เห็นแล้วนึกว่าเป็นคุณพ่อของเธอ เพราะดูยังหนุ่มอยู่ ทั้งๆที่ท่านอายุ 83 ปีแล้ว ไหว้พี่สาว และน้องสาวที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งก็ไหว้หมด ถือซะว่าเป็นการไหว้เจ้าภาพละกัน


photo


photo


       จากนั้น คุณรสก็คอยช่วยเหลืองานศพ นายบอนก็ไปเดินสำรวจทั่วบริเวณ หาห้องน้ำ หามุมกล้อง มองดูแล้วไม่เห็นเมรุในวัดเลย อยู่มุมไหนเนี่ย เดี่ยวเค้าคงจะแห่ไปที่ไหน ก็คงได้เห็นเอง เดินกลับเข้ามา คุณปู่ก็เข้ามาทักทายถามไถ่ว่า มาจากไหน ขอบคุณที่มาร่วมงาน แล้วนายบอนก็หามุมนั่งถ่ายภาพทีเผลอ จับภาพผู้มาร่วมงานในมุมต่างๆ 13.00 น. พระสงฆ์ก็เดินเรียงแถวเข้ามา เริื่่มพิธีสงฆ์ และพิธีการต่างๆ นายบอนก็หาจังหวะถ่ายวิดีโอไว้เป็นที่ระลึก ตั้งแต่ช่วงอ่านประวัติผู้จากไป จนเสร็จพิธี ถ่ายได้ 14 ช็อตสั้น ๆ แล้วเอามารวมเป็นไฟล์เดียว ความยาว 14 นาที ดังในวิดีโอนี้




            พิธีการกระชับจริงๆ สวดไม่นาน ถวายผ้าไตรเสร็จ ก็วางดอกไมัจันท์ภายในศาลาหน้าศพ โดยผู้ร่วมงานเข้าแถวรอบนอก เดินต่อแถวมาวาง แล้วเดินมาแถวกลาง รับของที่ระลึกงานศพ เป็นถ้วยชาม+ เหรียญบาท แล้วเจ้าภาพและญาติพี่น้องผู้จากไป ยืนเรียงแถวรับไหว้ ต่อจากแถวของญาติ ก็มีทีมหาเสียงของพรรค ปชป. แจกใบปลิวขอคะแนนเสียงอีกด้วย จนผู้คนเริ่มซา นายบอนเลยเดินไปวางดอกไมัจันท์ เสร็จ แล้วเดินมาหามุมถ่ายภาพ ไม่ได้เดินไปรับถ้วยชามของที่ระลึกผ่านแถวของญาติพี่้น้องของผู้จากไป.... รู้สึกเขินเหมือนกัน

photo


photo



            เมื่อญาติพี่น้องลูกหลาน มาวางดอกไม้จันท์บ้าง  แล้วก็เริ่มเคลื่อนศพไปยังเมรุ โดยมีชาวบ้านส่วนหนึ่งร่วมขบวนไปด้วย ซึ่งเมรุอยู่หน้าวัดนั่นเอง เลยตามไปถ่ายวิดีโอในแต่ละช่วง ตามถ่ายตั้งแต่เดินเวียน 3 รอบ การยกโลงศพขึ้นเมรุ เอาโลงเข้าเตาเผา ปิดเตาแล้วลูก หลาน ถือรูป+ธูป มาเคาะประตูเตา ก่อนเดินถือธูป+รูปขึ้นรถ ขับออกไป แป๊บเดียว ควันดำลอยออกจากปากปล่องเมรุ ไวมากๆ  เสร็จจากพิธีการ ก็เดินกลับมายังศาลา คุณรสพาไปกินข้าว ซึ่งก็ตักทุกอย่างใส่จาน นั่งกินไปก็ยังงงๆอยู่ งานเสร็จแล้วหรือ มาที่นี่แค่ชั่วโมงกว่า ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว คุณรสก็วิ่งไปจัดการธุระบางอย่าง แล้วก็เดินมาที่ครัวอีกครั้ง


        หลังจากหม่ำข้าว และน้ำส้มจนหมด ก็เดินออกมาย่อยอาหาร สักพักคุณรสก็ออกมาเรียก จะไปส่งที่ท่าเรือเฟอรี่ ขึ้นรถตู้เข้า กทม. ให้ซ้อนมอเตอร์ไซต์ซิ่งผ่านสวนยาง เขียวครึ้มจริงๆ เลยถ่ายภาพไว้

photo

photo

photo

photo

photo

photo

photo



        แล้วก็มาถึงท่าเรือเฟอรี่ ที่จะข้ามไปยังเกาะช้าง ใหญ่โตจริงๆ พึ่งเคยมาเ็ห็นครั้งแรกเช่นกัน มีรถตู้เข้า กทม.จริงๆ

photo

photo

photo

photo


        แ้ล้วคุณรสก็่เดินไปถามรถสองแถวที่จะวิ่งเข้าตราด บอกว่าให้รอเฟอรี่เทียบท่า มีคนมาขึ้นรถ ก็จะออกรถตอนนั้นแหละ แล้วคุณรสก็พามานั่งในร้านอาหารในท่าเรือ แล้วแว๊บไปซื้อเปปซี่กระป๋องมาให้ดื่ม ตอนนั้นกำลังเพลียๆหาวนอนมาตลอด หยิบที่เปิดกระป๋องผิดมุม จนเหล็กที่เปิดหลุด เปิดไม่ได้ คุณรสต้องไปขอที่เปิดกระป๋อง มางัดเปิด ถึงใส่หลอดดูดลงไปได้ แล้วก็มีโทรศัพท์เข้ามาตลอด สายหนึ่งจากพี่ชายบอกว่า เดี๋ยวจะขับรถไปส่งที่ตราด จะให้แขกกลับแบบนั้นได้ยังไง คุณรสเลยขับรถกลับมารอที่บ้านพักของเธอ

photo

   
            กลับมาถึงบ้าน  คุณรสก็ให้อาหารหมาน้อยของเธอ แล้วพี่สาวของเธอก็โผล่ออกมา เห็นคุยกันแป๊บนึง แ้ล้วพี่สาวของคุณรสก็หันมายกมือไหว้ เบื้องหลัง พี่สาวถามว่า ตกลงชั้นอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าเค้าวะ ..เออ..ไหว้ไปก่อนเถอะ คุณรสตอบว่างั้น  มารู้อาุยุทีหลังว่า พี่สาวของเธอ 34 อือม ถูกต้อง อายุน้อยกว่านายบอนอยู่แล้ว

            สักครู่ พี่ชายก็ขับรถมาจอดเทียบ ออกจากบางปิด เข้าแหลมงอบ -  ตราด มาลงที่ศูนย์การค้ากลางเมืองตราด เมืองที่ถนนแคบๆ ดูเล็กๆ มานั่งรอที่คิวรถตู้ไปจันทบุรี รออยู่พักใหญ่ 16.45 น. รถตู้ก็มาถึง ออกจากตราดมาถึงจันทบุรี 17.50 น. มีคนบอกให้มาส่งที่ บขส.เลยมาลงที่ บขส. ตอน 18.00 น.พอดี

            มานั่งรอคุณลุงที่ บขส. ยังงงๆอยู่ แป๊บเดียว กลับมาแล้ว ไปอยู่ที่บางปิด 2 ชั่วโมง อยู่ที่ท่าเรือเฟอรี่ ราว 1 ชั่วโมง  กลับมาถึงจัน คุณรสโทรมาถามไถ่ แล้วถามว่า เห็นคุณพ่อของเธอหรือเปล่า นึกออกหรือไม่ว่าคนไหน ... จำไม่ได้หรอก แค่มองดูญาติพี่น้องก็หลายคนเหลือเกิน คุณรสบอกว่า น้องสาวคนที่ถ่ายรูปคู่กันที่เห็นในเวบ วันนี้ไม่ได้มาด้วยนะ กำลังเรียนหัวเฉียว.. อะไรนะ เรียนหัวเขียวเหรอ.....หัวเฉียวนะ ไม่ใช่หัวเขียว เสียสถาบันของน้องหมด


            คุณลุงขับรถมารับ ถามว่า งานศพเ็ป็นยังไงบ้าง คนในงานได้ฟังเสภาหรือเปล่า ก็บอกไปตามสภาพความเป็นจริงว่า ทางคนคุมเครื่องเสียง เปิดเสภา ช่วงที่ผู้คนกำลังวางดอกไม้จันท์ แล้วพิธีกรก็พูดบอกให้เข้าแถว ทำยังไงบ้าง เสียงเปิดเสภา กับเสียงพูด ตีกัน ฟังยังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ในวิดีโอก็ถ่ายช่วงที่เปิดเสภาพอได้ยินอยู่บ้าง แต่เสียใจนิดหน่อยที่หลังจากนั้น ตรงที่คนถือไมค์บอกว่า ฟังไม่รู้เรื่อง สงสัยบันทึกเสียงมาไม่ดี ได้ยินแล้วก็ชักน้อยใจเหมือนกัน คุณลุงตั้งใจทำให้เหนื่อยแทบแย่ ทั้งที่ป่วยอยู่  แต่จะทำยังไงได้  เหตุสุดวิสัยจริงๆ แต่ไมไ่ด้บอกเรื่องนี้ให้ลุงรู้  คุณลุงก็รับรู้ว่า เครื่องเสียงไม่เป็นใจ แล้วก็บ่นเสียดาย ที่อดได้ตังค์ที่เจ้าภาพอาจจะฝากมาให้ คุณลุงเคยไปขับเสภาไว้อาลัยในงานศพแบบสดๆ เคยได้ตังค์มามากเอาการอยู่ เพราะเจ้าภาพประทับใจ เคยไปขับเสภา งานพระราชทานเพลิงศพงานหนึ่ง เคยได้มาถึง 5,000 บาท แต่งานนี้คุณลุงก็ไ่ม่ได้ว่าอะไรอีก เพราะได้นำเสนองานศิลปะวัฒนธรรมที่ตั้งใจไปแล้ว

            แต่คุณรสโทรบอกว่า หลังจากนั้น มีคนเปิดฟังแล้วชอบเสภานี้มาก คนคุมเครื่องเสียงเอาแผ่นซีดีไปแล้ว คุณรสเลยเปิดเสภาจากอินเตอร์เนตให้ฟัง หลายคนที่บ้านของเธอชื่นชอบ เลยอยากจะ write CD ให้ญาติๆ นายบอนเลยเอาไฟล์วิดีโอลงอินเตอร์เนต และจัดการอัพโหลดไฟลฺ์ให้คุณรสโหลดไฟล์ไป write CD ตามต้องการ



ลิงค์ไฟล์สำหรับดาวน์โหลด ไป write CD
งานบำเพ็ญกุศลศพ คุณลำใย โชติเสวตร์ ที่วัดบางปิดล่าง จ.ตราด เมื่อ 26 พ.ค.2554
suwetavi - ขับเสภาไว้อาลัย
Movie26may54workfull.wmv - รวมวิดีโอ 14 อันเป็น 1 ไฟล์
และ Mphorocollect26may54.wmv รวมภาพนิ่งแอบถ่าย + ใสเพลงของลุงประกอบ

suwetavi.avi
http://www.mediafire.com/?nrwusyhusux4dez

Movie26may54workfull.wmv
http://www.mediafire.com/?n395szdrgeo7lyn
...
Mphorocollect26may54.wmv
http://www.mediafire.com/?etu5hj4e194wejj




       นอกจากได้ไปที่ตราดแล้ว วันที่ไปตราด ก็สามารถโทรหาพี่แจง คนสารคาม ซึ่งทำงานอยู่ที่ตราด โทรติดในวันนี้ ซึ่งพี่แจง ไปทำธุระที่เกาะช้าง ช่วงที่โทรติด พี่แจงกำลังอยู่บนเฟอรี่ข้ามกลับมาจากเกาะช้าง ซึ่งเป็นที่ที่นายบอนพึ่งจะออกมานี่เอง ชวด ที่จะได้เจอ แต่อย่างน้อยก็ได้เบอร์โทรใหม่ของพี่แจงมาแ้ล้ว ไ้ว้โอกาสต่อไปถ้าได้มาตราด คงได้พบเจอกับพี่แจงเสียที

        การเดินทางไปตราดครั้งแรก ทั้งที่ก่อนมา  ตั้งใจจะกลับบ้านแล้ว แต่เมื่อมา ได้บรรยากาศและความรู้สึกหลายอย่าง เกินกว่าที่คิดไว้  สิ่งที่เป็นครั้งแรกนั้น จึงสำคัญยิ่งนัก ถือเป็นย่างก้าวแรก สู่ก้าวต่อๆไป.....

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สติกเกอร์ Vote No หลังรถในกระทรวงสาธารณสุข

            รถคันที่เห็นนี้ จอดอยู่ในที่จอดรถของอาคารสุขภาพแห่งชาติ เมื่อ 24 พ.ค.2554 เดินผ่านแล้วสะดุดตา เลยถ่ายภาพไว้






            มีสติกเกอร์ Vote No  และสติกเกอร์ข้อความ "เบื่อ! นักการเมือง"  ซึ่งเป็นข้อความที่คนที่เ็ห็น สะดุดสายตา.และโดนใจทุกคน ต่างจากสติกเกอรื Vote No ที่หลายคนยังมีอคติว่า เป็นการรณรงค์ของกลุ่ม  พธม. และหลายคนคิดว่า คนที่ติดสติกเกอร์แบบนี้ เป็น พธม.


            นักการเืืมือง ทำตัวน่าเบื่อจริงๆ จนต้องติดสติกเกอร์แบบนี้แล้ว  จนมีคนบอกว่า การเลือกตั้งที่จะ้เกิดขึ้น 3 ก.ค.2554 นี้ เป็นการเลือกคนที่ทำตัวน่าเบื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภา และบริหารประเทศชาติ  เป็นแบบนี้ ก็สมควรแล้วที่จะ Vote No

บันทึกการเดินทาง รถตู้ไปจันทบุรีเที่ยวสุดท้าย 24 พ.ค.2554





            เมื่อได้มาร่วมงานแถลงข่าวการจัดงาน "หนึ่งคนยืนหยัด หนึ่งศตวรรษ เสม พริ้งพวงแก้ว" เมื่อ 24 พ.ค.2554 ที่อาคารสุขภาพแห่งชาติ กับคุณไก่ แมลงสาบ, คีตาญชลี, คุณหลุยส์, อ.ณรงค์, คุณพระอาทิตย์ หลังจากอาหารมื้อเที่ยง ก๋วยเตี๋ยวและของหวานที่ผู้จัดงานเตรียมไว้ให้ทานแล้ว  ช่วงบ่าย คุณไก่ แมลงสาบก็ขับรถไปทำหนังสือเดินทางที่สำนักงานของกรมศุลกากรแถวแจ้งวัฒนะ-หลักสี่ เวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษ ก็ขับรถออกมา และโผล่ไปที่ดอนเมือง ไปที่บ้านพักของ ตั๊ก-โต่ย และ ติว ซึ่งเป็นย่านที่คุณพระอาทิตย์เติบโตมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยู่ใกล้กับสนามบินดอนเมือง และบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ "ส.ส. เก่ง การุณ โหสกุล" สมัยเด็กๆ เป็นเพื่อนเล่นกันกับคุณพระอาทิตย์ แม้ปัจจุบัน หลายอย่างจะเปลี่ยนไปตามบทบาทหน้าที่ ซึ่งคุณพระอาทิตย์ ชี้ให้ดูบ้านฝั่งตรงข้ามที่เก่ง การุณ เคยอยู่ที่นั่น


            เสร็จธุระจากบ้านโต่ย-ตั๊ก ก็ขับรถมาเรื่อยๆ โผล่มาทางจะไปสี่แยก วงเวียนบางเขน เลยแวะจอดรถที่ Food Center แห่งหนึ่ง ก่อนถึง ป.กุ้งเผา สั่งก๋วยเตี๋ยวมากิน ..แหม มื้อเที่ยงก็ก๋วยเตี๋ยว แล้วยังมาเจอก๋วยเตี๋ยวอีก แต่ก็อร่อยจริงๆ


            16.45 น. ก็ถึงเวลาแยกย้าย คุณไก่ แวะจอดส่งนายบอนลงตรงสะพานลอยข้ามถนน แล้วร่ำลา กลับชลบุรี ส่วนนายบอนข้ามฝั่งมาขึ้นรถเมล์ จะไปยังสะพานควาย ขึ้นรถเมล์แล่นมาตามถนนวิภาวดี ช่วงเวลาเลิกงานพอดี ผู้โดยสารเบียดแน่นเต็มรถเมล์ ฝนเริ่มลงเม็ด จนรถแล่นมาถึงป้ายรถเมล์ที่จตุจักร ก็ลงจากรถ มาเจอฝนตกห่าใหญ่ เลยต้องยืืนหลบฝนที่ป้ายรถเมล์ เบียดผู้คนที่ยืนหลบฝนแถวนั้น ฝนก็ตกมาเรื่อยๆ กว่าครึ่งชั่วโมง เปียกแฉะ แม้จะรู้สึกเบื่อ แต่เมื่อมองไปรอบๆ สาวๆทั้งนั้น ที่มายืนหลบฝนข้างๆ เหลียวไปทางขวา แหม สาวออฟฟิศที่ยืนอยู่ น่ารักจริงๆ แม้จะมีหนุ่มยืนกางร่มบังฝนให้ แอบมองก็ยังเพลิน เหลียวมาอีกด้าน ก็สาวๆหลากหลาย  แล้วก็มีสาวเดินตากฝนที่เริ่มซา ผ่านหน้าไป


            ฝนตกหนักจริงๆ เลยลองโทรไปหาเพื่อนที่สะำพานควาย ซึ่งขอเลื่อนนัด เพราะเจอฝน รถติด ยังไ่ม่ได้ออกเดินทางกลับที่พัก รถติดมากๆ ไม่รู้จะได้เจอตอนไหน นายบอนเลยขึ้นรถเมล์ไปลงหมอชิต 2 เวลาตอนนั้น ปาเข้าไป 18.25 น.แล้ว


            โทรไปหาลุงสุเ้วศน์ บอกว่า อยู่ทีจันทบุรีไม่ได้ไปไหน แวะมาได้เลย จึงขึ้นรถตู้ไปจันทบุรี ตรงทางออกรถเมล์ ขสมก.อยากไปถึงไว ถ้าดึกเกินไป คุณลุงก็ได้นอนดึกอีก  แต่พอเดินไปถึงคิวรถตู้ คนขับที่นั่งอยู่บอกว่า รถตู้เที่ยวก่อนหน้าพึ่งออกไปไม่ถึง 5 นาทีนี่เอง คันนี้เป็นเที่ยวสุดท้าย ออกทุก 1 ชั่วโมง เลยจ่ายค่ารถตู้ไป 200 บาท คนขับเดินไปหยิบบัตรสะสมแต้มมาให้ เพราะนายบอนยังไม่มีบัตร เป็นการเดินทางด้วยรถตู้ครั้งแรก  ถ้าเดินทางบ่อย มีบัตรสะสมแต้ม ก็เอาบัตรมาประทับตรา เดินทางครบ 10 ครั้ง ฟรี 1 ครั้ง


            รถจะออกตอน 19.30 น. เลยต้องนั่งรอ มองดูเมฆฝนก้อนดำ ที่ลอยมา ดูท่าจะตกหนักแน่นอน ฝนตกใน กทม.ช่วงเย็นๆ แต่ช่วงกลางวัน ร้อนตับแตก นั่งรอไปเรื่อยๆ ก็มีสองสาว มารอขึ้นรถตู้กลับจันทบุรีเหมือนกัน รอๆๆๆๆ จนถึง 19.20 น. คนขับรถก็สตาร์ทเครื่อง บอกว่า ออกก่อนเวลาดีกว่า เพราะรถติดมากๆ  จากคิวรถตู้ วิ่งออกมาทาง ถ.กำแพงเพชร เข้า ถ.พระราม 6 ฝนก็ตกมาเรื่อยๆ และรถติดมากจริง


            รถติดแช่นานหลายนาที คนขับก็คุยโทรศัพท์บอกว่า รถติดมากๆ ที่อนุสาวรีย์มีผู้โดยสารกี่คน พุดคุยสื่อสารกันไป เวลาผ่านไปใกล้ 2 ทุ่ม นั่งรอจนหงุดหงิด ท่าทางจะถึงจันทบุรีดึกกว่าที่คิด ตอนที่นายบอนโทรบอกคุณลุงบอกว่า คงจะถึงจันทบุรีราว 4 ทุ่ม ตอนนี้ 2 ทุ่มแ้ล้ว ดูท่าทางจะไปถึงดึกกว่านั้น


            หลังจากรถค่อยๆขยับ มาจนถึงสี่แยกไฟแดง คนขับตัดสินใจ ขับรถผ่านสี่แยก ไฟแดงพอดี แต่ก็ตัดสินใจขับฝ่าไป แล้วมาขึ้นทางด่วนเพื่อไปลงตรงอนุสาวรีย์ เพราะโทรเช็คแล้ว รถติดมาก ถ้าไปเส้นทางเดิม กว่าจะถึงอนุสาวรีย์คงนานเป็นชั่วโมง จ่ายค่าผ่านทางด่วน รถก็แล่นมา ติดแหงกตรงทางลงอนุสาวรีย์เหมือนกัน เวลาเลย 20.00 น.ไปแล้ว กว่ารถจะลงจากทางด่วน กว่าจะยูเทิร์นแล้วมาติดไฟแดง กว่าจะผ่านอนุสาวรีย์วิ่งมาเข้าถนนซอยเล็กๆ สู่ภัตตาคารพงหลี บู๊ตทรูมูฟ ก็ปาเข้าไป 20.30 น.


            มีผู้โดยสารขึ้นมาอีก 6 คน กว่าที่ีรถตู้จะโผล่ออกมาจากซอย แล้ววิ่งวนอนุสาวรีย์ วิ่งเข้าเส้นดินแดน มาจนถึงขึ้นทางด่วน ก็ปาเข้าไป 20.45 น.แล้ว คนขับรถตู้ ก็โทรบอกคนทางบ้านว่า ถึงไหนแล้ว คงกลับดึก เตรียมกับข้าวไว้ในตู้ละักัน พอขึ้นทางด่วน ก็เหยียบเต็มที่ ซิ่ง เหยียบ แซงๆๆๆ ติดไฟแดงสี่แยกไหน ก็ขับเข้ามาในช่องที่จะมาจอดแถวหน้า พอเขียวปุ๊บรถออกตัวได้ทันที พุ่งไปข้างหน้าขับเร็วได้ใจจริงๆ


            21.40 น. รถมาจอดเติมแก๊ส NGV ที่ปั๊ม อ.บ้านบึง ชลบุรี นายบอนเลยโทรบอกคุณลุงว่า ถึงไหนแล้ว และคงจะถึงดึก คุณลุงก็บอกว่า ใกล้ถึงแล้ว โทรมาบอกละกัน พอเติม NGV เสร็จ คนขับก็บอกให้รีบขึ้นรถ แล้วนับจำนวนผู้โดยสาร พอครบแล้วก็บอกว่า รีบไปกันดีกว่า เสียเวลารถติดมามากแล้ว แล้วก็เหยียบซิ่ง ขับรถฝ่าฝนที่ตกลงมาตลอดทาง ขับเร็วมากๆ แม้ใจหนึ่งจะกลัวๆ ที่ขับเร็วแบบนี้ แต่ก็อยากให้ถึงที่หมายไวๆ ดูฝีมือการขับรถแล้ว ไว้ใจได้ ทั้งเหยียบ เร่ง เบรค แน่นอนจริงๆ


            22.40 น. มาถึง อ.แกลง จ.ระยอง จอดส่งผู้โดยสารลงจากรถคนหนึ่ง แล้วก็เหยียบต่อ ช่วงหนึ่งขับมาถึงช่วงที่มีเลนกำลังราดยางใหม่ เลยวิ่งได้ช่องเลนเดียว รถคันหน้าวิ่งไปช้าๆ เพราะมีรถบรรทุกอยู่หน้าสุด พี่คนขับก็ขับช้าๆตามไปช่วงหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจ หักเข้าเลนที่พึ่งราดยางใหม่ ทางยังไม่เรียบ รีบเหยียบๆๆๆ ขับแซง แล้วพุ่งไปข้างหน้า เร่งทำเวลาทันที  ก่อนถึงตัวเมืองจันทบุรี ก็ัขับแซงรถทัวร์ ป.1 ของเชิดชัยทัวร์ หรือ พรนิภาทัวร์นี่แหละ ซึ่งออกจากหมอชิต ในช่วงเวลาใกล้ๆกับที่รถตู้ออก แต่รถทัวร์ ออกจากหมอชิต แล้วขึ้นทางด่วนออกจาก กทม.ทันที ไม่ต้องวิ่งมาอนุสาวรีย์ชัย เจอรถติด แต่รถตู้ก็วิ่งแซงรถทัวร์แบบไม่เห็นฝุ่น มาถึงจันทบุรี 23.10 น. จอดที่คิวรถตู้โลตัส จันทบุรี



            แม้จะขับรถไว แต่คนขับอัธยาศัยดี พูดจาดีมาก เป็นกันเอง มีผู้โดยสาีรที่มาจันทบุรี ถามหาที่พัก พี่แกก็จอดที่หน้าโรงแรมที่พักคืนละ 200 บาท แนะนำข้อมูลที่จำเป็นให้ผู้โดยสารก่อนลงจากรถ แล้วก็มาส่งที่โลตัสจันทบุรี ก่อนที่จะรีบขับรถกลับบ้านทันที


            ความจริงแล้ว ค่าโดยสารรถทัวร์ ป .1 กทม- จันทบุรี คือ 193 บาท นั่งสบาย กว้าวกว่า และมีน้ำ นม ขนม แจกให้ทานด้วย แต่ถ้าต้องการความเร็ว ก็ต้องนั่งรถตู้ รถตู้ NGV นี้ 200 บาท ถ้ารถตู้ของพรนิภา 150 กว่าบาท คุณภาพ และสภาพรถก็ตามราคานั่นแหละ


            การได้เดินทางหลายแบบ นั่งรถหลายบริษัท หลายแนว ก็ได้อะไรใหม่ๆ ได้บรรยากาศ รสชาติใหม่ๆ ไม่ซ้ำซากจำเจ แม้ว่าจะเดินทางมาที่จุดหมายเดียวกัน จันทบุรีก็ตาม..


วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แก้วเบียร์บนผ้าขนหนู ที่ร้่านเหล้าสไตล์ชนบทที่ ต.แสลง - จันทบุรี


            ค่ำคืนวันที่ 24 พ.ค.2554 หลังจากที่นายบอนเดินทางมาถึงจันทบุรี โดยรถตู้ NGV จากหมอชิต 2 มาถึงโลตัส จันทบุรี ลุงสุเวศน์ก็ขับรถมารับที่คิวรถตู้ ตอน 23.20 น. ทีแรก ลุงขับรถไปรับที่สถานีขนส่ง บขส. เพราะทุกทีที่มาจะไปลงรถที่นั่น แต่คราวนี้ มารถตู้ คุณลุงคงไปรออยู่นาน ไม่เห็นโผล่มา เลยโทรมาถามอีกที จึงรีบมารับที่คิวรถตู้

            พอขึ้นรถ ก็บอกว่า เดี๋ยวพาไปหากินเบียร์สักขวดก่อนนอน จะพาไปนั่งกินที่ร้านเพื่อน... คืนนี้ ก่อนมารับ แวะไปดูเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย แต่ไม่ได้เข้าไปทักทาย ไม่งั้นคุยกันยาว พอมารับนายบอนเลยพาไปนั่งจิบเบียร์กันก่อน
      
            จากแยกเขาไร่ยา ขับมาตามถนนสุขุมวิท เกือบจะถึงแยกแสลง คุณลุงก็จอดที่หน้าร้านริมถนน บอกว่า นี่แหละ ร้านของเพื่อนลุง เป็นร้านของเพื่อนที่รู้จักกัน เค้าเคยทำงานเป็นผู้จัดการธนาคารมาก่้อน ตอนนี้มาเปิดร้านอาหาร ปรับหน้าบ้านให้เป็นร้านอาหารแบบชนบท



            เมื่อเดินเข้าไป ผ่านสวนต้นไม้ที่ปลูกเขียวครึ้ม มองเข้าไป เป็นร้านที่โล่ง มีผนังด้านเดียว คือ จุดที่เป็นเคาน์เตอร์สั่งอาหาร + คิดเงิน อีกมุมเป็นห้องครัว และห้องน้ำ มีโต๊ะนั่ง โต๊ะ เก้าอี้เป็นไม้อย่างดี  ส่วนสวนหน้าร้าน มีซุ้มเล็กๆ แต่ละมุึม ให้นั่งกินเหล้าแบบเงียบๆได้ ลุงเข้าไปนั่งที่ซุ้มหนึ่ง สั่งเบียร์1 ขวดมากิน มีสาวเสิร์ฟ อายุ 30-35 ปี ดูแลดี ชวนคุยและเสิร์ฟเบียร์ + น้ำแข็ง   นั่งไปสักพัก คุณลุงโดนมดกัด เลยย้ายเข้ามานั่งในร้าน นั่งที่โต๊ะ ยกแก้วเบียร์มาด้วย  สาวเิิสิร์ฟ เดินไปเอาผ้าขนหนูมารองแก้ว  เพื่อโต๊ะไม้จะได้ไม่เป็นรอยด่างของแก้วน้ำ

            ที่โต๊ะอื่นๆ ก็มีผ้าขนหนูรองแก้ว เป็นความรอบคอบของเจ้าของร้าน ไม่ต้องซื้อจานรองแก้ว แต่ใช้ผ้าขนหนูแทน

            ในร้าน มีตู้คาราโอเกะ 1 ตู้ ให้ลูกค้าไปกดเลือกเพลงได้ แต่ส่วนใหญ่ เจ้าของร้านจะบริการไปกดเพลงให้ แล้วส่งไมค์ลอย ให้โต๊ะต่างๆ ได้ร้องเพลงทั่วหน้า บางที เจ้าของร้าน ก็มาร้องเพลงกับลูกค้า ถ้าเป็นเพลงคู่ หรือลูกค้าร้องไม่จบ ร้องไม่ได้ ก็ส่งไมค์ให้เจ้าของร้านช่วยร้องเพลง

            บางโต๊ะ เมาได้ี่ที่ ก็ลุกขึ้นมาเต้น สนุกสนานตามอัตภาพ ไม่ต้องกลัวไปเหยียบเท้าใคร เพราะบริเวณในร้าน กว้างมากกว่าร้านเหล้า หรือ ผับในเมือง คนที่มากินก็รู้จักกันอย่างดี

            นั่งกินเหล้าไปสักพัก เพื่อนของลุงเห็น ก็เข้ามาทักช่วงที่ไม่ได้ทำอาหาร เข้ามานั่งคุยอย่างเป็นกันเอง เพราะไม่เห็นลุงแวะมาที่ร้านตั้งนานแล้ว  เพื่อนสนิทของลุง เป็นผู้หญิง อายุ 61 ปีเข้าไปแล้ว   นั่งคุยอย่างเป็นกันเอง แล้วก็ชวนให้ลุงร้องเพลงคาราโอเกะ จะร้องเพลงอะไร จะเดินไปกดให้ แต่ลุงไม่ร้อง ขอจิบเบียร์เย็นๆดีกว่า

            ลุงเล่าให้ฟังว่า เพื่อนเปิดร้านอาหาร ขายแบบพอเพียง แบบชนบท บางช่วงลูกค้าเยอะ บางช่วงลูกค้าไม่ค่้อยมี เปิดร้านแบบนี้ ทั้งสามี และภรรยาเลยหัดร้องเพลงคาราโอเกะจนร้องเก่ง ดูแลร้านจนอยู่รอดมาถึงวันนี้ 

            ลุงสุเวศน์เคยพาไก่ แมลงสาบ มาัันั่งจิบเบียร์ที่ร้านนี้ ไก่ แมลงสาบ เคยร้องเพลงคาราโอเกะที่ร้านแห่งนี้ด้วย เมื่อนานมาแล้ว

            หมดเบีัยร์ไปสองขวด ฝนเริ่มลงเม็ด 6 ทุ่มกว่าๆ ลุงขอเช็คบิล เพื่อนลุงเลยคิดราคามิตรภาพ หลังหมดขวด ลุงก็ลุกกลับ

            บรรยากาศร้านเหล้าแบบนี้ อบอุ่นเป็นกันเองดี ต่างจากร้านเหล้าในเมือง ที่มีแต่วัยรุ่นเมาเละ มีแต่เหล้าอย่างเดียว แต่ที่ร้านแบบนี้ มีทั้งกับข้าว กับแกล้มต่างๆ นั่งกินข้าว คุยกันไป ราคาสมเหตุสมผล

            คุณลุงสุเวศน์ ไม่ค่อยได้มานั่งกินเบียร์ที่ร้านเหล้าแบบนี้บ่อยนัก ชอบกินเหล้า กินเบียร์ และยาดองที่บ้านมากกว่า

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรียนรู้จากกลุ่มดินรักษ์ฟ้า : การตัดสินใจล้มเลิกโครงการ

            การทำงานทุกอย่าง ถือเป็นการเรียนรู้ทั้งสิ้น  ทุกขั้นตอนการทำงานล้วนเป็นบทเรียนทั้งสิ้น ไม่ว่างานนั้น จะประสบความสำเร็จ หรือต้องล้มเลิกไปก็ตามที
      


            ทุกงานที่คิดขึ้นมา มีทั้งงานที่สามารถเริ่มต้นทำได้จริงๆ และงานที่ลงมือทำไม่ได้สักที จนต้องล้มเลิกโครงการไป แม้จะมีความตั้งใจที่ดี แต่หลายอย่างอาจไม่เป็นดังที่หวังไว้ ซึ่งถ้าเข้าใจความจริงของโลก ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ แต่เมื่อเิกิดสิ่งใดขึ้นมา ต้องถามตัวเองว่า เราพยายามทำในสิ่งนั้นดีที่สุดแล้วหรือยัง ถ้าหากผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คาด ก็ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น



            ในการทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบต่างๆ แต่ละคนมีแนวคิด มีวิธีการ มีรูปแบบที่คิดไว้แตกต่างกัน แม้หลายเรื่องจะมีอุดมการณ์ เป้าหมายตรงกัน แต่เมื่อมองเจาะในแต่ละขั้น รายละัเอียดแต่ละจุด ย่อมมีความแตกต่างกันได้  การที่หลายคนมารวมกลุ่ม เพราะ มีแนวคิดหลักๆที่ตรงกัน


            เมื่อได้คุยกัน หรือได้รับข้อมูลใหม่ๆที่่น่าสนใจ แต่ละคนจะมีโครงการที่อยากจะทำ และคิดรูปแบบได้เยอะ คิดออกมาได้เรื่อยๆ เช่น คิดจะทำโครงการหนึ่ง คนแรกบอกว่า  ทำโครงการนี้ดีแน่นอน คนที่สองเห็นด้วยและจะลงมือทำ ขยายผล แต่ทั้งสองคน มีประสบการณ์ มุมมองที่แตกต่างกัน แต่ละคนมีประสบการณ์ในด้านอื่นด้วย และมีงานอื่นที่จะต้องคิด และทำ นอกจากงานของกลุ่มที่จะร่วมกันทำ


            ในแต่ละวันที่ผ่านไป มีหลายสิ่งที่จะต้องตัดสินใจทำ จึงต้องจัดลำดับความสำคัญว่า ควรจะทำงานใดก่อนหลังตามลำดับ ทำให้สติ และสมาธิของแต่ละคนแตกต่้างกัน ใช้เวลาคิด และเวลาทำงานแตกต่างกัน


            แต่ทุกอย่างมีเวลาเฉพาะของมัน วันนี้ ทุกคนมีเวลา และพร้อมคิด และทำงานชิ้นหนึ่งที่ตกลงกันไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงื่อนไขแตกต่างกัน อาจมีเวลาไม่ตรงกัน หรือมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าที่ต้องให้คิด เร่งมือทำ ทำให้งานอื่น ถูกลดลำดับความสำคัญลงไป


            ถ้ามองงาน 1 ชิ้น ตั้งแต่เริ่มต้นลงมือทำ จนสำเร็จตามเป้าหมาย  อาจมีขั้นตอนต่างๆ เช่น มี 5 ขั้นตอน  ตามลำดับ


            1 -- > 2 -- > 3 -- > 4 -- > 5


            หากคิดจะทำโครงการ คนที่ร่วมงานกัน ต้องเข้าใจว่า จะต้องทำงานนั้นอย่างไร เป้าหมาย อยู่ที่ไหน ทำแค่ไหน จะเริ่มต้นอย่างไร ในแต่ละขั้นตอน หรือ แบ่งงานให้ใครรับผิดชอบ ซึ่งแต่ละขั้นตอน จะต้องตัดสินใจ  แต่ถ้าในบางขั้นตอน ตัดสินใจไม่ไ้ด้ หรือรอการตัดสินใจ เพราะมีข้อมูลไม่พอ ยังตัดสินใจไม่ได้  ถ้าเวลาผ่านไปนานพอสมควร แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ หรือยังไม่มีความชัดเจน  /ลังเล สงสัย ก็ถึงเวลาจะต้องกลับมาทบทวนว่า ควรจพทำต่อดีไหม หรือ ปรับเป้าหมายใหม่ ปรับขั้นตอนการทำงานนั้นใหม่ ควรจะลด หรือ เพิ่ม ตัด หรือเติม ควรทำต่อ หรือ ยกเลิก  งานนั้นยังมีความสำคัญในเวลานั้นอีกหรือไม่


            ถ้ามีงานอื่นที่น่าทำ ต้องทำก่อน สามารถตัดสินใจได้ แต่งานเดิมยังไม่แน่ใจ ยังไม่ชัดเจน อาจเก็บไว้ก่อนหรือล้มเลิกโครงการไปเลย หรือ จะปรับเป้าหมายใหม่ ให้เล็ก หรือ ใหญ่ เพิ่ม หรือลด กระชับ หรือ ขยายขึ้น หากพิจารณาแล้ว ยังรู้สึกติดขัด หรือไม่ใช่อย่างที่อยากทำ



            ... บางครั้ง ก็ควรที่จะตัดสินใจ ยกเลิก หรือถอนตัวจากโครงการนั้น  ซึ่งถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก และมีอีกหลายงานที่น่าจะลงมือทำมากกว่า เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียแล้ว การยกเลิกโครงการ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ดีกว่า ปล่อยให้สิ่งนี้ มาทำลายความรู้สึกในทีมงาน ให้ต้องขบคิด พยายามผลักดันงานนั้นต่อไป ไม่ควรให้สิ่งนั้นมากัดกร่อนทำลายความรู้สึกที่ดีๆให้ค่อยๆเลือนหายไป


            ทุกอย่างเป็นศิลปะ เมื่อรู้จักจังหวะในการก้าวเดิน รู้จักจังหวะการรุก ก็ควรที่จะต้องรู้จัก จังหวะในการถอย หากทำให้ืหลายสิ่ง ดีขึ้น กว่าการก้าวเดินต่อไป แต่เป้าหมายไม่ชัดเจน

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อ่านคนจากการเดินทางโดยรถทัวร์ รถโดยสาร

            การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ถือเป็นการเปิดโลก และเรียนรู้โลกรอบตัวไปด้วย รวมทั้งเรียนรู้ผู้คนที่ร่วมเดินทางไปบนเส้นทางเดียวกันอีกด้วย แม้ว่า คนที่ร่วมเดินทางจะไม่อยากให้ใครมาสนใจเรียนรู้ เพราะปิดตัว อยู่ในโลกส่วนตัวและไม่สนใจแยแสสิ่งใดเลย
  
            เมื่อหลายคนเลือกการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าจะเ็ป็นรถทัวร์  ปรับอากาศ VIP ชั้น1 ชั้น 2 ตามงบประมาณที่มีในกระเป๋า ซึ่งการเลือกเดินทางก็สะท้อนลักษณะของคนได้เช่นกัน

            1. ถ้าเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ ที่วิ่งรวดเดียว ไม่จอดตามทางบ่อยๆ มุ่งสู่สุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด ซึ่งหลายคนรู้สึกรำคาญถ้า้ต้องนั่งรถที่จอดรับผู้โดยสารตามที่ต่างๆอยู่บ่อยๆ ยิ่งจอดทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ยิ่งรู้สกึเสียเวลา ที่รถวิ่งถึงจุดหมายช้ากว่าที่คิดไว้

            .. คนลักษณะนี้ เป็นคนที่มุ่งสู่จุดหมาย ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง อาจจะบอกได้ว่า เป็นคนที่อยู่ในกรอบของตัวเอง ไม่สนใจสิ่งอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับเป้าหมาย จึงไม่สนใจสิ่งรอบข้าง รอบๆตัว ไม่สนใจความเป็นไปของโลก ระหว่างการเดินทางหากข้างทางเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ก็ไม่ได้สนใจใส่ใจมากนัก คนที่มีบุคลิกแบบนี้ เมื่อนั่งรถ ก็มักจะปิดม่าน หลับนอน หรือ เสียบหูฟังเพลงของตัวเอง อยู่ในโลกของตัวเอง



            2. คนที่เปิดกว้าง เดินทางด้วยรถแบบไหนก็ได้ จะเป็นรถที่จอดบ่อยหรือวิ่งรวดเดียว ก็ไม่เครียด ยังไงก็ถึงจุดหมายอยู่แล้ว แม้จะช้าหรือเร็วก็ตาม ระหว่างทาง ได้สนใจดูสิ่งรอบตัว สองข้างทางที่ผ่าน ดูเพลิน และได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ระหว่างการเดินทางอยู่เสมอ

            คนในลักษณะนี้ เป็นคนที่สนใจสิ่งรอบตัว หลายคนมีจิตสาธารณะ จิตอาสา ชอบช่วยเหลือคนอื่น ชอบสังเกตสิ่งรอบข้าง อยู่ในโลกของความเป็นจริง สามารถปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ เข้าใจชีวิตเข้าใจโลกมากกว่าคนกลุ่มแรก

            3. คนที่ต้องฝืนใจในการเดินทางโดยรถโดยสาร เพราะช่วงนั้นมีเงินน้อย งบประมาณไม่พอ หรือมีทางเลือกในการเดินทางแค่หนทางเดียว จึงจำใจต้องเดินทางโดยรถโดยสาร หรือรถทัวร์ จึงรู้สึกอึดอัด ทุกข์ทรมาน เบื่อ เมื่อไหร่จะถึงเสียที  บุึคคลในลักษณะนี้ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่มีอยู่มากนัก อยากได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม อารมณ์หงุดหงิดง่าย และไม่ค่อยมีใครอยากไปยุ่งเกี่ยวด้วยมากนัก

            การเดินทางบนรถคันเดียวกัน ย่อมมีคนหลากหลายแบบ ทั้งคนที่สนใจคนที่เห็น คนที่ไม่สนใจใครเลย คนที่มองดูแล้ว แอบนินทาถึงการแต่งกาย บุคลิก หน้าตา หรือ เห็นแล้วแอบปิ๊งแอบรัก รวมทั้งคนที่สอดรู้สอดเห็น ซึ่งเป็นธรรมดาในสังคมโลกเบี้ยวๆใบนี้ แม้คุณจะไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยว แต่ก็จะมีคนที่สนใจมอง สนใจคุณอยู่เงียบๆ มีคนที่สังเกต วิเคราะห์ อ่านบุคลิกของคุณเหมือนในสถานที่อื่นๆทั่วไป



            ดังนั้น อย่าแปลกใจ ว่า ทำไมคนบางคนถึงเข้าใจคนอื่นแทบทุกเรื่อง ในขณะที่คนอีกคน กลับไม่เคยเข้าใจใครเลย เพียงแค่การเดินทางบนรถโดยสาร ก็จะได้พบเห็นผู้คนหลากหลายแบบ หลายอารมณ์ เป็นห้องเรียนแห่งชีวิตที่ไม่มีโรงเีรียนที่ไหนเปิดสอนเลย
  
            มีแต่ชีวิตจริง ที่จะเรียนรู้จากผู้คนที่พบเห็นจริงๆในสังคมนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มองกลยุทธ์ดึงความสนใจผู้คนของพรรครักประเทศไทย, Vote No , กมม. และ ฯลฯ

            เข้าสู่ช่วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้ง มีข่าวหลายข่าวให้ติดตาม ในกระแสข่าวจากฟรีทีวี เราเห็นอะไรหลายอย่างในกระแสข่าวนั้น

            พรรครักประเทศไทย โดยชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ซึ่งก่อนหน้าการยุบสภา ไม่มีใครรู้จักชื่อพรรคนี้มาก่อนเลย ไม่เคยได้ยินในกระแสข่าว แต่พอเปิดรับสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ข่าวของพรรคการเมืองนี้ โดย ชูวิทย์ คนเดียว กลับสามารถแย่งพื้นที่ข่าวในสื่อฟรีทีวีอย่างไม่น่าเชื่อ



            นอกจากข่าวของ 2 พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย - ประชาธิปัตย์ 2 ขั้วการเมืองแล้ว ก็มีพรรคของคุณชูวิทย์ ที่เป็นข่าวขึ้นมา โดดเด่นเหนือกว่าหลายพรรค ทั้งๆที่โผล่หน้ามาไม่กี่วัน แต่ทีวีทุกช่องเสนอข่าวของพรรรนี้ ต่างกับพรรคที่ตั้งมานาน ออกข่าวในสื่อมาเป็นระยะๆ อย่างพรรคของคุณปุระชัย หรือ ของ พล.อ.สนธิ ที่มีทีมงานเยอะกว่า กลับไม่เป็นข่าว ไม่อยู่ในกระแสความสนใจเหมือนพรรคของคุณชูวิทย์
          







            คุณชูวิทย์ สร้างสีสัน เล่นแนวการตลาดดึงกระแสความสนใจ และถูกใจนักข่าว จับประเด็นไปนำเสนอ ดูแล้ว แตกต่างกับการณรงค์โหวตโน ซึ่งมีข่าวในฟรีทีวีเหมือนกัน แต่ได้ออกเพียงแค่ไม่กี่วินาที ในรายงานข่าวก็บอกแค่ว่า "มีคนกลุ่มหนึ่งมาชูป้ายโหวตโน.." มีภาพชูป้ายให้เห็นแค่ไม่กี่วินาที แล้วผู้ประกาศข่าว ก็อ่านประเด็นต่อไป ภาพในทีวีก็ตัดไปที่ภาพอื่น ถ้าไม่ได้ตั้งใจดู คงไม่รู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาชูป้ายโหวตโน

            สำหรับพรรคการเมืองใหม่ ที่มี หัวหน้าพรรค คุณสมศักดิ์ ที่จะอาศัยเกาะกระแสออกมาโต้ตอบ พันธมิตร ก็ไม่ค่อยมีข่าวในสื่อมากนัก เพราะสื่อก็สนใจประเด็นที่ขัดแย้งกับพันธมิตรแค่นั้น

http://youtu.be/5mApbrlGNg0

            ส่วนของ พธม. ซึ่งมีข้อมูลเยอะ มีประเด็นเยอะ แต่ไม่ใช่ประเด็นที่ฟรีทีวีจะนำไปทำข่าวได้ น่าสังเกตว่า บางประเด็นที่ชูวิทย์นำมาพูด คล้ายกับประเด็นที่เวทีพันธมิตรพูดถึง แถมบนเวที มีข้อมูลละเอียด ลึกกว่าของชูวิทย์ แต่สิ่งที่ชูวิทย์นำเสนอ กลับได้ออกข่าวทางฟรีทีวี ให้คนทั่วไปได้เห็นในข่าว  แบบนี้แสดงว่า กลยุทธทางการตลาด การนำเสนอข้อมูลของพธม.ต้องปรับปรุงใหม่

            ถ้า พธม. ใส่ใจกลยุทธ์การตลาด รู้จุดในการนำเสนอ ประเ็ด็นที่ถูกใจสื่อฟรีทีวี ที่หยิบเอาไปรายงานข่าวได้ ข้อมูลที่น่าสนใจจะได้ถูกเผยแพร่ออกไปบ้างซึ่งปัจจุบันข่าวของพันธมิตรในฟรีทีวีมีน้อยเหลือเกิน แถมยังถูกรัฐบาลปิดกั้นข้อมูลของ พธม.อีก  จึงเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด

            พธม. มีนักวิชาการ มีข้อมูลมากกว่าชูวิทย์ แต่ชูวิทย์สร้างสีสัน + หลักการตลาดมานำเสนอ ถูกใจชาวบ้าน และสื่อก็เล่นด้วย ดังนั้น กลยุทธการตลาดเป็นสิ่งสำคัญมาก ใครที่เก่งในเรื่องกลยุทธการตลาด น่าจะมาช่วยวางแผนเรื่องการรณรงค์ประเ็ด็นต่างๆได้แล้ว

            มีคนบอกว่า พธม.ชุมนุมมาเป็นร้อยกว่าวัน บางคนรู้สึกว่า เหมือนไม่มีการชุมนุมอะไรเลย บางคนคิดว่า เลิกชุมนุมไปแล้ว เหมือนการชุมนุมของ นปช. ที่ตอนมาชุมนุมก็เป็นข่าวในฟรีทีวี แล้วช่วงดึกๆ ก็เลิกชุมนุม แยกย้ายกันกลับบ้านไป หลายคน คิดว่า พธม.คงเ็ป็นแบบนั้น

            ความรู้สึกของแนวร่วม พธม.ที่อยู่ในต่างจังหวัด หลายคนบอกว่า ต่างกับช่วง 193 วัน ซึ่งในช่วงนั้นรู้สึกว่า มันสำคัญมาก เวลามันนานมากๆ เกิดความผูกพันในหลายช่วงเวลา แต่การชุมนุมในปี 2554 ผ่านมาร้อยวัน หลายคนรู้สึกเฉยๆ มันนิ่งมากจริงๆ

            สรุปแล้ว การมีกลยุทธ์ มีแนวคิดการตลาด ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน คนน้อยกว่า ก็สามารถเปิดประเด็น ดึงกระแสความสนใจของคนในสังคมได้เช่นกัน ..



ยิ้มให้กับตัวเอง : ความอารมณ์ดีของคนตัวดำ

            ผู้หญิงหลายคน มักจะใส่ใจดูแลตัวเอง พยายามทำให้ตัวเองดูดี ผิวขาวขึ้น ยิ่งขาวยิ่งดี เวลาใส่ชุดไหนจะได้ดูสวย ดูดีทุกชุด  บางคนลงทุนไปขัดผิว ลงทุนทำสวยหมดเงินไปมากพอสมควร แล้วก็สวยสมใจอยาก
  
            แต่คนสวยที่ได้พบเจอหลายคน มีตั้งแต่ สวย เริด เชิด หยิ่ง  ส่วนผู้หญิงผิวดำ หลายคน อารมณ์ดี ใจดี ยิ้มง่ายก็หลายคน และคนผิวดำ หรือคนตัวดำที่จะกล่าวถึงนี้ คือ น้องแนน น้องสาวคนโปรดที่อยู่จังหวัดใกล้กัน คือ ร้อยเอ็ดนี่เอง



            น้องแนน พึ่งจะผ่านวันคล้ายวันเกิด เมื่อ 21 พ.ค.2554 ที่ผ่านมา ซึ่งคงได้ฉลองวันเกิดอยู่ที่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ไม่ได้กลับบ้านอย่างที่หวังไว้ เพราะงานยังไม่เสร็จ โรงเรียนอยู่ในช่วงเปิดเทอมพอดี ซึ่งน้องแนน ยอมรับว่า ตัวเอง เป็นคนตัวดำ และเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มๆๆๆๆๆ

            วันนี้ (22 พ.ค.2554 )เจอเด็กถามว่าทำไมตัวดำ เธอก็ไม่น้อยใจ แต่กลับขำให้ตัวเอง แถมยังส่ง SMS มาทักทายนายบอนก่อนนอน

            "22/5/2011 : 22.49 น. - วันนี้เด็ก 3 ขวบถามน้องว่า ทำไมน้องตัวดำจัง? เด็กบ้า"

            กด SMS อ่านข้อความแล้วก็ต้องยิ้มตามไปด้วย เป็นการส่งข้อความแห่งความสุขแบบเรียบง่ายก่อนนอน ซึ่งความจริงแล้ว ก็เป็นเรื่องเล็กๆ แต่ในเรื่องเล็กๆก็มีสิ่งดีๆ กับการแบ่งปันรอยยิ้มกับเรื่องที่เจอกับตัวเอง

            ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะคิดมาก หรือ ไม่พอใจเด็กสามขวบ หรืออาจจะทนตัวเองไม่ได้ ต้องรีบไปทำสวย ไปขัดผิวให้ขาวขึ้น แต่น้องแนนยอมรับตัวเอง ความเป็นคนตัวดำ ก็มีข้อดีคือ ทำให้รู้จักตัวเอง แล้วเป็นคนอารมณ์ดี คิดดี มีความสุขง่ายๆ โดยไม่ต้องไปแสวงหาความสุขที่ไหนไกลๆ เพราะความสุขเกิดขึ้นได้ทุกที่ และเป็นคนตัวดำที่มีเสน่ห์.... เป็นคนตัวดำ ที่จะต้องคิดถึงล่ะ

            ถ้ามองดูผู้หญิงคนอื่นที่มีหลายสิ่งดีกว่า หน้าตาดี ผิวดี แต่ก็ยังไม่พอใจในตัวเอง แถมคิดมาก ไม่เคยยิ้มให้กับตัวเองบ้างเลย

            เรื่องเล็กๆง่ายๆ ก็เป็นเสน่ห์ที่ดีของตัวเอง เรื่องง่ายๆ ก็เติมความสุขให้ตัวเองและบุคคลอื่นได้ด้วย
            ......แล้วคุณเคยเติมความสุขแบบง่ายๆให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า??

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทเรียนจากพ่อ...... เมื่อคุณย่าจากไป


            "แม่" คือ บุคคลสำคัญของลูกทุกคน คอยดูแลลูกตั้งแต่เล็กจนโต ลูกที่กตัญญูจึงคอยดูแลเลี้ยงดูแม่ในยามแก่เฒ่า อยู่กับลูกหลานในบ้าน ซึ่งแม่ที่เคยดูแลสั่งสอนเรามาตลอดแล้ว ยังได้ดูแล เลี้ยงหลาน สั่งสอนหลานอีกด้วย

            หลานหลายคน รักและผูกพันกับ คุณย่า (แม่ของพ่อ) อย่างมาก วันเวลาที่ผ่านไปนานวัน ความรัก ความผูกพันยิ่งมากขึ้น หลานบางคนติืดย่า มากกว่าติดพ่อ แม่เสียอีก

            วันเวลาผ่านไป เมื่อหลานเติบโตขึ้น แต่สุขภาพของคุณย่ากลับทรุึดลง มีอาการป่วยไข้บ่อยขึ้น สังขารร่วงโรยไปตามกาลเวลา จนถึงขั้นเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล นายบอนมีโอกาสได้เห็นครอบครัวหนึ่ง ที่คุณพ่อ (ลูกชายคนโปรดของแม่) มาดูแล นอนเฝ้าคุึณย่าใน โรงพยาบาล

            เมื่อคุณย่าอาการทรุดลงเรื่อยๆ คุณพ่อใจคอไม่ดี ส่วนลูกๆก็เศร้า ไม่อยากให้คุณย่าจากไป  อยากให้คุณย่าอยู่จนถึงวันที่เธอเรียนจบ อยากให้คุณย่าเห็นความสำเร็จของเธอ

            ในท่ามกลางความเศร้าโศก พ่อ แม่ก็พยายามปลอบใจลูก อีกมุมหนึ่ง ก็เหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองไปด้วย จังหวะหนึ่ง ลูกแอบเห็นคุณพ่ออยู่กับุคณย่าในห้อง เห็นคุณพ่อฟุบหน้าลงที่ข้างเตียง เหมือนกำลังร้องไห้ที่ข้างๆคุณย่า



            คุณหมอบอกว่า ให้ทำใจ เพราะอาการป่วยที่เป็นอยู่นี้ เป็นระยะสุดท้ายของชีวิตแล้ว เหลือเวลาน้อยลงทุกที ..เมื่อลูกสาวอีกคนรู้ข่าว ก็รีบเดินทางกลับมาเยี่ยมคุณย่าที่โรงพยาบาล เมื่ออยู่ักันพร้อมหน้า เฝ้าดูอาการของคุณย่าไม่นาน คุณย่าก็จากไป ในขณะที่พ่อ แม่ ลูกกำลังกุมมือคุณย่าอยู่

            แม่ ลูก ต่างพากันร้องไห้ปานขาดใจ เพราะแต่ละคนต่างผูกพันกับคุณย่ามากเหลือเกิน ส่วนผู้เป็นพ่อ กลับนิ่งและคอยปลอบโยน และพูดถึงการจัดงานศพให้ดีที่สุด

            ในระหว่างการจัดงานศพ นายบอนมีโอกาสได้ไปร่วมงานนั้น เห็นคุณพ่อของเพื่อนยุ่งกับการเดินต้อนรับแขก ดูแลส่วนต่างๆของงานอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วเหนื่อยแทน จนมาถึงช่วงสุดท้ายของงาน ในช่วงที่จะจุดไฟบนเมรุ คุณพ่อยืนหน้าแดงก่ำเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา ส่วนแม่ ลูก ที่ยืนอยู่ข้างๆ มองหน้าพ่อ แล้วต่างปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจตรงนั้น

            พ่อนิ่งอยู่ครู่ใหญ่  ก่อนที่จะโอบกอดทั้งแม่และลูก แล้วยืนมองภาพตรงหน้า ภาพควันไฟสีดำที่พวงพุ่งออกมาจากปล่องควันของเมรุเผาศพ ผู้เ็ป็นพ่อคอยปลอบ คอยเอาผ้าซับน้ำตาของคนในครอบครัว ในขณะที่ทั้งแม่้และลูก ต่างร้องไห้ไม่หยุด



            ถึงแม้คนเป็นพ่อจะไม่ร้องไห้ แต่คงร้องไห้อยู่ข้างใน มองเ็ห็นน้ำตาของลูก และเมียที่ไหลจนเืปื้อนมือ เปื้อนไหล่ของพ่อ น้ำตานั้นได้ซึมซับความรู้สึกสูญเสีย เศร้าโศกของคนในครอบครัวเป็นอย่างดี



            แต่มือของพ่อที่โอบกอด เมียและลูก  เป็นการถ่ายทอดความเข้มแข็ง ความอบอุ่น และการเป็นหลักของครอบครัว ที่ชีวิตของผู้ที่ยังอยู่ จะต้องยืนหยัดต่อไป แม้ในใจของผู้เ็ป็นพ่อ กำลังร่ำร้องเศร้าโศกเสียใจไม่ต่างกับลูก เมียในอ้อมกอด ก็ตาม


การรณรงค์ Vote No กับการต่อต้าน เยาะเย้ย ถากถางในอีสาน

            เข้้ามาสู่ช่วงการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆในช่วงเวลานี้ ซึ่งการรณรงค์โหวตโน  Vote No ก็กำลังขับเคลื่อน เผยแพร่ข้อมูลไปเช่นกัน ทั้งการแจกเอกสาร ข้อมูล การติดสติกเกอร์ เพื่อเปิดหู เปิดตาให้หลายคน รู้เท่าทันนักการเมืองทั้งหลาย





            ถึงแม้ว่า เรื่อง Vote No จะเริ่มรณรงค์มาก่อนการยุบสภา แต่หลายคนก็ยังคงงุงงน สงสัย ว่า Vote No นี้ ดีจริงหรือ มีประโยชน์จริงหรือ แนวทางนี้ใช่แน่หรือ ซึ่งค่อนข้างขัดกับความเชื่อ และสิ่งที่ได้ยินกรอกหูคนไทยมาตลอดหลายปีว่า เลือกตั้งทั้งที ให้เลือกคนดีเข้าสภา หรือเลือกคนที่ดีที่สุด หรือ เลวน้อยที่สุดเข้าไปเป็นตัวแทนของเรา.. แต่ครั้งนี้ มาบอกว่า ไม่ต้องเลือกใครเลย Vote No อย่างเดียว

            มีคนที่ไปมัฆวาน ไปเอาเอกสารข้อมูลมาแจก บอกให้เอาไปช่วยเผยแพร่  แนวร่วม พธม.ที่ขอนแก่น เลยเริ่มออกไปเจอเอกสารที่ตลาดสด หลายคนรับเอกสารมา พลิกดูครู่หนึ่ง เมื่อเดินผ่านไป ก็ทิ้งเอกสารอย่างไม่สนใจ เหมือนที่เคยได้ใบปลิวโฆษณาราคาสินค้าของโลตัส บิ๊กซี รับมาดูสักหน่อย ก็วางทิ้งไว้ข้างทาง ข้างโต๊ะแล้วเดินจากไป

            บางคน เมื่อจะเดินเอาเอกสารไปให้ รีบโบกมือห้าม บอกว่าไม่รับ แล้วรีบเดินจากไป คงจะรีบจริงๆ  บางคนน่าจะเป็นคนเสื้อแดง เม่อเห็นมาแจกเอกสารเลยด่าเ้ข้าให้ บอกว่า เกลียดพันธมิตร เกลียดพวกอำมาตย์ฯลฯ และบางคนบอกว่า เลิกเหอะ ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาเศรษฐกิจในพื้นที่กำลังดี รับเงินดีกว่า  บางชุมชน ยังไงก็ต้องกาเลือกพรรคที่หัวคะแนนบอกมา เนื่องจากเป็นระบบอุปถัมภ์ มีหัวคะแนนที่เช็คจำนวนคนในหน่วยเลือกตั้งในชุมชนแห่งนั้น เช่น มี 50 คนในซอยนั้น ต้องได้คะแนนจากคนในชุมชนนั้น 50 คะแนน ถ้าตรวจสอบแล้ว ไม่ได้ตามจำนวน หัวคะแนนเดือดร้อนแน่ ยังไงหัวคะแนนก็ต้องคุมให้ 50 คนในซอยนั้น ต้องกาเลือกเบอร์ที่เขาต้องการ

            เมื่อเป็นแบบนี้ คนที่ไปแจกเอกสารโหวตโน เริ่มถอดใจ ไม่เห็นมีกระแสความสนใจเหมือนเวทีที่มัฆวานพูดเลย คิดแล้วก็กลุ้มเหมือนกัน ที่ พธม. มักจะทำในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในสังคม ต้องอธิบายปากเปียกปากแฉะ มีคนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง หลายเรื่องที่ พธม.รณรงค์ พูดยาก อธิบายให้เข้าใจได้ยาก และหลายคนคิดว่า  พธม.คิดมากเกินไป แต่ในที่สุดแล้วเมื่อเวลาผ่านไป หลายเรื่องที่ พธม.วิเคราะห์ไว้ ก็เกิดขึ้นจริงตามนั้น

            บางครั้งไปรณรงค์ ไปเจอคนเสื้อแดงพูดขึ้นมาว่า ที่โหวตโน น่าจะพูดกันตรงๆเลย ว่า ให้โหวตโน ประชาธิปัตย์ หรือ พรรคการเมืองใหม่ เกลียดกันนักก็โหวตโนคนที่เกลียดไปสิ ยังไงเบอร์ 1 เพื่อไทยก็นอนมา ชนะในเขตนี้ชัวร์  ..เมื่อพูดสวนขึ้นมาแบบนี้ และคนที่ไปรณรงค์ Vote No ไม่ตอบโต้อะไร หลายคนที่ได้ยินก็คล้อยตามในสิ่งที่คนเสื้อแดงพูดขึ้นมา... เชื่อว่า เป็นอย่างที่พูด

            อีกประเด็นที่ได้ยินบ่อย " มารณรงค์โหวตโนแบบนี้ กำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือของแกนนำบางคนหรือเปล่า ถ้าที่ พธม. พูดมาถูกต้อง แล้วทำไม คนในพรรค กมม. ที่เ็ป็น พธม. ถึงไม่เชื่อล่ะ จนต้องขัดแย้งแตกคอกัน  ถ้ามันดีจริง ทำไมพวกเดียวกันถึงไม่เชื่อล่ะ"

            "...ไอ้ที่กำลังจะทำกันอยู่ ก็แค่ความสะใจ ก็มีผลแค่ 4 วินาทีในคูหาเลือกตั้ง ที่เหลือจากนั้น พวกนักการเืมืองก็เข้าสภา แล้วไม่เห็นหัวของพวกคนข้างถนนเหมือนเดิม..."

            สารพัดคำพูดเยาะเย้ยถากถาง ทำให้คนที่ออกไปแจกเอกสาร ออกไปรณรงค์ในพื้นที่ขอนแก่น ชักจะถอดใจเหมือนกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ถือเป็นบททดสอบจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ว่าจะยืนหยัดรณรงค์ต่อไปได้แค่ไหน เป็นคนที่มีอุดมการณ์มั่นคง จิตใจหวั่นไหวง่ายหรือเปล่า


ที่มา rsunews.net

            การต่อสู้ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรอก

จับคู่คนทำงานให้เหมาะสมกัน - ศิลปินเพลง



            คนทุกคนมีความแตกต่าง ซึ่งสามารถนำมาผสมผสาน ทำงานร่วมกันได้ โดยต่างฝ่ายจะเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน แม้วัยจะแตกต่างกันก็ตาม


            ยกตัวอย่าง ศิลปินคู่หูเพื่อนซี้ ไก่ แมลงสาบ (42) และ คุณลุงสุเวศน์  (68) ทำงานเพลงร่วมกันได้ ตัวเลขในวงเล็บ คือ อายุของบุคคลทั้่งสอง ณ วันเวลาที่เขียนบันทึกนี้





            ทำงานเพลงหลายชุด แต่้ถ้าฟังงานเดี่ยว ต่างคนมีแนวทางของตัวเอง คนที่ชื่นชอบผลงานของลุงสุเวศน์  บางคนไม่ชอบผลงานในชุดที่ทำในนามคู่หูเพื่อนซี้ บอกว่า แนวเพลงของคุณลุง ไม่ใช่แนวนี้ ไม่เหมาะกับคุณลุง ในขณะที่งานเดี่ยว งานที่คุณลุงทำเอง อย่างชุดพระภูมิพล เ็ป็นงานที่เป็นตัวตนของคุณลุงมากที่สุด





            ชุดหลังๆที่ไก่ แมลงสาบ กับคุณลุงสุเวศน์ ที่ทำงานร่วมกัน หลายคนบอกว่า มีส่วนผสมที่ลงตัว แต่มีคนทักท้วงบอกว่า ยังไม่ใช่ นั่นเป็นแนวทางการทำเพลงของคุณไก่  เป็นหลัก


            ในปีนี้ 2554 ความตั้งใจของคุณลุงสุเวศน์ คิดจะทำงานเพลง พระมหาชนก นายบอนลองไปคุยกับคุณ Sako ดินรักษ์ฟ้า ว่าสนใจทำดนตรีให้หรือไม่ ซึ่งพี่ Sako จะถนัดเพลงร็อค เพลงสากล แต่ก็ทำดนตรีได้ทุกแนว





            แต่เืื่มื่อไปถามคนอื่นว่า มีความเห็นยังไง มีคนตั้งข้อสังเกตให้คิดว่า จะใช่แนวเพลงของลุงสุเวศน์หรือเปล่า  เรื่องนี้ อยู่ที่ว่า คนที่ทำดนตรี จะเข้าใจสิ่งที่คุณลุงต้องการถ่ายทอด หรือ จะยึดแนวทางของตนเป็นหลัก แล้วให้คุณลุงเดินตามหรือเปล่า


            เรื่องนี้ต้องพูดคุยรายละเอียดในการทำงาน จะทำแนวไหน แบบไหน ดนตรีแบบไหน ถึงจะบอกได้ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ เป็นการจับคู่การทำงานที่เหมาะสมกันหรือเปล่า


            ความเหมาะสมในนิยามของผู้รู้หลายท่านบอกว่า คือ ต่างฝ่าย ต่างเรียนรู้ ทำความเข้าใจกัน รู้จักกันปรับแนวทางให้เข้ากัน ซึ่งจะลงตัวได้มากแค่ไหน ถ้าไม่ลงตัว ก็ไม่ใช่คู่การทำงานที่เหมาะสมกัน


            การจับคู่การทำงาน ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ...

Miss call กับความคิดถึงคนที่โทรมา

            ทุกสิ่งที่เห็น มีความหมายทั้งนั้น แม้สิ่งนั้นจะเป็นเพียงแค่ข้อความ miss call ไม่ได้รับสาย ซึ่ง miss call มีความหมายหลายอย่างเช่นกัน



            เบอร์โทรที่โทรมาบ่อยๆ แล้ว miss call  ยิงมาให้โทรกลับ เพื่อประหยัดเงินค่าโทศัพท์ เ็ป็นอีกหนึ่งวิธีการติดต่อของผู้ที่มีเงินเหลือในกระเป๋าน้อย แต่ไม่อยากขาดการติดต่อ
          
            Miss Call หลายครั้งที่ไม่ทันได้รับ หรือ ลืมรับสาย / ไม่สนใจรับสาย หลายครั้งเป็นเรื่องที่สำคัญ เช่นข่าวร้ายของครอบครัว, เรื่องทวงหนี้ หรือ โทรตามตัว

        แต่ถ้าเป็น 1 Miss call แล้วเบอร์ที่โทรมานั้น เป็นเบอร์ของคนพิเศษ อันนี้ ยิ่งมีความหมาย ... เมื่อเขาโทรมาแ้ล้ว ไม่ได้รับสาย เมื่อโทรกลับไปแล้ว เธอก็ไม่รับสายคือ Miss call ทั้งคู่ ถือได้ว่า เ็ป็นมิสคอลที่มีความหมาย  เพราะบางคน ถือเป็นการส่งสัญญาณ แทนความคิดถึง แม้ช่วงเวลาที่โทรจะไม่สะดวกรับ หรือ ว่างไม่ตรงกัน หรือ ลืมโทรศัพท์ วางไว้ที่ใดที่หนึ่ง



        แม้ว่า โทรมา แต่ไม่มีโอกาสได้รับสาย แต่เ่มื่อเห็นเบอร์คนที่โทรมา ก็รู้ไว้นะ ว่าคิดถึง

            หลายคน ชอบโทรศัพท์ คุยนานหลายชั่วโมง โทรนาน และโทรบ่อย แต่ก็ยังไม่หายคิดถึงกัน  ในขณะที่บางคน บางคู่ ไม่ค่อยโทร นานๆครั้งจะโทรหากันสักที ก็ยิ่งคิดถึงกันมากขึ้น เป็นแบบ ใช้เวลาสำหรับการคิดถึงกัน

            ความคิดถึง อยู่ทุกที่ ทุกเวลา หลายคน แสดงออกในหัวใจ ไม่ต่างกับการแสดงความรู้สึกตอนโทรศัพท์

            การที่คนพิเศษอยู่ห่างไกลกัน ไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน ถือว่า มีระยะห่างให้คิดถึงกัน

            Miss call แม้จะอดคุยกัน แต่ก็เป็นสัญญาณว่า คิดถึงกัน สำหรับบางคน miss call มีความหมายแบบนี้ แต่เมื่อได้เจอ ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ ก็ยิ่งมีความหมายมากขึ้น แม้ว่า จะไม่ได้คุยอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก แต่เสียงของกันและกันที่ได้ยินนั้น สื่อความหมายในหัวใจได้อย่างเหนือคำบรรยาย...

ตัดต่อคลิปเสียงของมิตรสหายแบบสนุกๆ

            เดี๋ยวนี้คลิปวิดีโอ ใครๆก็ถ่ายได้ง่ายๆ จะถ่ายจากโทรศัพท์มือถือสารพัดรุ่น ถ่ายจากกล้องดิจิตอล หรือกล้องวิดีโอและอีกสารพัดอุปกรณ์ ถ่ายวิดีโอไดุ้ทุึกที่ทุกเวลา เรื่องการตัดต่อวิดีโอ ก็ทำได้ง่าย มีหนังสือ แหล่งข้อมูลที่บอกวิธีการขั้นตอนอย่างละเอียด ใครๆก็ทำได้ ซึ่งเรื่องคลิปวิดีโอนี้ มีทั้งการถ่ายวิดีโอในแง่ที่ดี และแง่ไม่ดีมากมาย

            นับวันยิ่งมีคลืปวิดีโอมากมายให้คลิกดูในเวบ youtube

            ไปอ่านเจอวิธีการเปลี่ยนเสียงในคลิปวิดีโอในหนังสือเล่มหนึ่ง จากวิดีโอต้นฉบับ ทำการเปลี่ยนให้เป็นเสียงอื่น หลักการคือ วิดีโอต้นฉบับ เป็นเสียงหนึ่ง เราก็เข้าโปรแกรม ทำการปิดเสียงต้นฉบับ แล้วเอาเพลง mp3 ใส่เข้าไป คลิปวิดีโอเดิม แต่ได้ยินเสียงเพลงใหม่ที่ใส่เข้าไป

            โปรแกรมที่ใช้ คือ Windows Movie maker ซึ่งมีอยู่ใน MS Windows ทุกเวอร์ชั่น ไม่ต้องไปหาดาวโหลดที่ไหนให้ยุ่งยาก ทำการ Import Video และ  Import audio or music  เข้าไปในโปรแกรม จัดการลากมาวางใน Timeline แล้ว Mute ปิดเสียงวิดีโอต้นฉบับ ก็จะได้ยินเสียงเพลง mp3 ที่แทรกเข้าไปดังขึ้นมาแทน

การเริ่มต้นใช้งาน Windows Movie Maker

            ว่าแล้ว ก็ลองทำวิดีโอสนุกๆ ของมิตรสหายทันที





            เพลงนี้ คือเพลง saddo ของ ศิลปิน shampoo เมื่อช่วง 1990s จากวิดีโอที่ sasi vimol และ พี่ Kat Dinrakfah ขึ้นเวทีร้องเพลงที่ร้านคำหยาด แถวๆบางแค แต่ในวิดีโอนี้ ความจริงแล้ว ทั้งคู่ร้องเพลง ดาวเรืองดาวโรย  แต่กลับเอาเพลง saddo ในทำนองร็อคๆมาใส่แทน แม้ปากจะขยับไม่ตรงกับเพลง แต่ได้อารมณ์ความรู้สึกเข้ากับเพลงได้เหมือนกัน




            เพลงปุ๊บปั๊บของวงนกแล เอามาใส่วิดีโอของเด็กสองคนสองแสบที่ไปเที่ยวทะเล น่ารักไปอีกแบบ



          เพลงนี้ ทำแบบ photovcd ทั่วไป ใส่ภาพนิ่งแบบสไลด์โชว์แล้วใส่เพลงเข้าไป ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก

            แต่ไม่ว่าจะทำแบบไหน ก็จะได้คลิปวิดีโอแบบสนุกๆ จัดเพลงได้ตามที่ต้องการ สำหรับโปรแกรมที่ใช้ตัดต่อหรือทำคลิปวิดีโอ มีมากมายหลายโปรแกรม ทำได้เยอะแยะหลายตัว ใส่ลูกเล่นได้มากขึ้น เอาึถึงขั้นมืออาชีพก็ได้

            ทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับคนใช้งาน ซึ่งวิดีโอที่ทำออกมานี้ ก็ทำเื่พื่อความบันเทิง ผ่อนคลาย เติมความรู้สึกที่ดีๆในยามว่างก็เท่านั้น

สึนามิเล็กๆ น้ำไหลเข้าบ้านที่ ปลวกแดง - ระยอง


            เมื่อผู้คนบุกรุก ทำลายธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน ธรรมชาติจึงหาทางเอาคืนมาตลอด ซึ่งเดี๋ยวนี้ เกิดภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง คนไทยเดือดร้อนบ่อย เจอทั้งหนักทั้งเบา เดือดร้อนไปทั่วหน้า

            ช่วง 19-20 พ.ค.2554 เมื่อได้พูดคุยสื่อสารกับคนบ้านเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ปักหลักพักอาศัยอยู่ที่ อ.ปลวกแดง  จ.ระยอง เธอเล่าให้ฟังว่า บ้านของญาติพี่น้อง พึ่งเจอสึนามิแบบเล็กๆ โดนน้ำป่าจากภูเขาไหลบ่าลงมา น้ำไหลมาเร็วแรง ไหลเข้าบ้าน น่ากลัวมากๆ

            ภัยธรรมชาติ เข้ามาใกล้ตัวทุกคน ทุกที่ ทุกภูมิภาคเข้ามาทุกทีแล้ว อยู่ตรงไหน ก็เสี่ยงทั้งนั้น



            นี่ืคือ เรื่องราวที่คุยกันทาง facebook เกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นกับบ้านของญาติพี่น้องที่กล่าวถึง
++++++++

        มะวานฝนตกแรงมาก
        น้ำไหลทะลักเข้าท้วมบ้านย่าเอฟ
        เหมือนน้ำป่าเลย


        โดนเต็มๆ
        ขนาดนั้นเลยหรือ
        ตู้มเดียวข้าวของไปหมดเลย
        กำแพงหลังบ้านพังหมด
        โห
        แรงเหมือนกัน
        น่ากลัว
        น้ำเข้าบ้านสูงถึงเข่า

        แต่ที่บ้านแม่โดนกันเปนแถว
        ไปกวาดน้ำมีแต่ดินเหลน
        พี่ชายอรขับรถบึ่งมาร้าน

        คิดว่าโดนเหมือนกัน
        ตอนแรกแก่คิดว่าน้ำป่าไงเลยกลัว
        หลานอตัวเล็กเกือบไปกะน้ำแล้ว
        4เดือน
        น้ำมาแบบไม่ได้ตั้งตัว
        มาแรงมาก
        พี่ชายของพี่สะใภอร
        ยืนอยู่ในบ้านพอดี
        พออุ้มตัวเล็กขึ้นน้ำก็ท้วมเลย
        พี่ชายอรขับรถพาลูกเมียฝาฝนออกมาเจอน้ำขาวเปนทะเล
        ร้องให้ทั้งผัวทั้งเมีย
        กลัวลูกตาย

        แล้วตอนนี้เป็นไง
        น้ำแห้งแล้ว
        หรือฝนตกอย฿่

        แห้งแล้ว

        แล้วตอนนี้ ฝนจะตกทางโน้นอีกมะ
        มีเมฆป่ะ
        ลม

        วันนี้ไม่ตก
        แต่เมือวานทั้งลมทั้งฝน
        แรงมาก

        น่ากลัวจัง
        กำลังจะไปจันท์อีก 3 วัน
        จะรอดมั้ยเนี่ย

        อรกะพี่อรออกไปดูบ้านขับรถฝาน้ำออกไป

        น้ำไม่รู้มาจากไหนเยอะมาก
        บ้านแม่โดนหลังแรกเลย
        ทะลุหลังบ้านไป
        บ้านด้านล้าง
        ห้องแถว

        ท้วมหมด
        ข้าวของเสียหายหมด
        มีแต่ดินแดงๆ
        สาเหตุมาจาก
        บ้านหลังบนเขาทำกำแพงกั้นน้ำ
        หลังบ้าน
        ทำไม่ดี
        ไม่ได้ตอกเสาเข็ม
        สู.)ณธฒษรฌฮซ
        สูงเหมือนกัน
        น้ำมาเยอะรับน้ำไม่ไหว
        กำแพงพังแตก
        นั้นหล่ะ
        จบเลย
        เหมือนเขื่อนแตก

        มาเหมือนชึนามิเลย
        ทั้งไม้ทั้งดินแดง
        ตู้มเดียวไม่เหลือ


        อือม น่ากลัว


+++++++

            โลกถูกทำร้ายมาตลอด โลกเอาคืนด้วยภัยธรรมชาติหลายครั้ง คนเราต้องอดทน ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น อดทน และดูแลกันให้ดีๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พรรคการเมืองใหม่กับโอกาสที่สูญเสียไป

            เรื่องราวในแวดวงชาวพันธมิตรในช่วงนี้ กับกระแสรณรงค์โหวตโน Vote No ไปเลือกตั้งแต่กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใคร เพราะนักการเมืองที่เสนอตัวเป็นตัวแทน ดูแล้ว เป็นที่พึ่งพาไม่ได้จริงๆ หลายชื่อที่เห็น มุ่งเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวกทั้งนั้น



            นอกจากเรื่องโหวตโนแล้ว เื่รื่องของพรรคการเมืองใหม่ เรื่องของคนคุ้นเคยที่เปลี่ยนไป ยังคงคาใจหลายคน หลายคนยังคงวิพากษ์วิจารณ์อย่างผิดหวัง หลายคนก็ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากเสียความรู้สึกให้มากไปกว่านี้

            เมื่อพี่น้อง พธม. เห็นว่าไม่ควรลงเลือกตั้ง แต่ท่านหัวหน้าพรรค "สมศักดิ์ โกศัยสุข" และกรรมการบริหารพรรคส่วนหนึ่ง ต้องการส่งผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง



            พรรคการเมืองใหม่ ก่อกำเนิดขึ้น จากมติของพี่น้อง พธม. เมื่อ 25 พ.ค.2552 ประกาศอย่างชัดเจนในวันนั้นว่า พรรคการเมืองนี้ เป็นเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตร เพราะพี่น้องเป็นผู้ให้กำเนิดพรรคในอุดมคตินี้ขึ้นมา แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปี 2554 หลังจากวิเคราะห์ ติดตามพฤติกรรมของพรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคไหน ขั้วไหน มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องกันทั้งนั้น ไม่ได้ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองอย่างที่ควรจะทำ เข้าทำนอง ไม่ว่าจะเลือกฝ่ายไหน ก็อัปรีย์ไป จัญไรมา งั้นโหวตโนดีกว่า จนหลายคนเห็นว่า พรรคการเืมืองใหม่ ยังไม่ควรจะลงเลือกตั้งในครั้งนี้ รอครั้งหน้า ค่อยลงเลือกตั้งก็ยังไม่สาย



            แต่หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ไม่ได้คิดแบบนั้น คิดลงสนามสู้ ซึ่งขัดแย้งกับเวที พธม. จนคุณสมศักดิ์ ลาออกจาก 1 ใน 5 แกนนำ พธม. และออกมาตอบโต้ กล่าวหา ตำหนิ พธม. จนเป็นข่าวความขัดแย้งระหว่าง พรรค กมม. และ พธม. ในสื่อต่างๆ ทำให้คนที่ไม่ชอบ พธม. หันมาเชียร์ เอาใจช่วย คุณสมศักดิ์ หัวหน้าพรรค กมม. ให้สู้ พธม.เสียที

            เมื่อหัวหน้า กมม. ให้ข่าวกล่าวหา โจมตี พธม. ทาง พธม.ก็ชี้แจง และตอบโต้กลับ  จนหลายคนเสียความรู้สึก เมื่อได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ กรรมการพรรค กมม. ที่ต้องการลงเลือกตั้ง บางคน ออกมาเขียนบทความใน facebook โจมตี พธม. ในแง่ลบทันที

            น่าเสียดาย เมื่อกลุ่มคนในพรรค กมม. ที่คิดจะเสนอตัวเป็นผู้แทนประชาชน ลงเลือกตั้ง  แต่กลับคิดเล็กคิดน้อย เมื่อจะเป็นผู้แทนเข้าสภา แต่ทำให้มวลชน พธม. ที่รู้จักพวกคุณเป็นอย่างดี เข้าใจในเหตุผลที่ต้องการลงเลือกตั้งไม่ได้ แล้วจะเป็นตัวแทนของประชาชนไทยทั่วประเทศได้ยังไง

            เป็นผู้แทน แต่ไม่คิดจะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ท่าทีที่ออกมา ออกมาให้ข่าวปกป้องตัวเอง และโจมตีแนวคิดของ พธม. ทำลายความน่าเชื่อถือของคนในพรรค แต่คิดต่าง เมื่อได้โอกาสออกฟรีทีีวี ก็เอาแต่ตอบโต้ สาวไส้พวกเดียวกัน ให้ฝ่ายตรงข้ามสะใจ

            เป็นการเสียโอกาส ที่คุณสมศักดิ์บอกว่า จะทำพรรคในอุดมการณ์นี้ต่อไป แต่กลับไำม่สร้างความเข้าใจในหมู่มวลชน เป็น 1 ใน 5 แกนนำมากี่ปี แล้วกลับมาทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาที่สะสมลงด้วยน้ำมือของตัวเอง ถือเป็นนักสู้ที่ไม่ฉลาด และยังไม่นิ่งพอ

            คนดีหลายคน เมื่อเข้าสู่แวดวงการเมือง ที่มีผลประโยชน์ยั่วกิเลสมากมาย ถ้าไม่นิ่ง ไม่มีจุดยืนที่มั่นคงพอ คนดีๆ ก็เีสียคนไปแล้วหลายต่อหลายคน...

ทรงผม..เรื่องใหญ่ของฉัน เรื่องเล็กของเธอ เรื่องเล็กที่อาจทำลายเรื่องใหญ่??



            เมื่อคนรู้จักกัน พูดคุยติดต่อสื่อสารกันบ่อยครั้ง ย่อมสนิทสนม คุยกันได้ทุกเรื่อง ยิ่งเป็นคนที่มีความคิด มีอุดมการณ์ในบางเรื่องตรงกัน ยิ่งไปกันได้ สนิทสนมและไว้ใจกันมากขึ้น

            คนที่มีอุดมการณ์ตรงกันในบางเรื่อง ต่างคนพร้อมที่จะก้าวเดินและต่อสู้ไปสู่เป้าหมาย ร่วมมือร่วมใจกันทำงานสำคัญร่วมกัน แต่ทว่า คนที่สนิทสนมกันหลายคน มักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ และหลายครั้งที่เรื่องเล็กๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน จนมีผลต่อเรื่องใหญ่

            เรื่องทรงผมบนศีรษะ ใครว่าไม่สำคัญ เจ้าของทรงผม โดยเฉพาะสุภาพสตรี ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะหน้าตาสวย น่ารัก หรือหน้าตาธรรมดาๆ ผู้หญิงทุกคน รักสวยรักงามด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อใดที่ไปตัดผม ดัดผมแล้ว ทรงผมที่ออกมา ส่องกระจกแล้วเริ่มขาดความมั่นใจ หากใครมาทักท้วง หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทรงผมใหม่นั้น ย่อมทำให้ เจ้าตัวเคืองได้เช่นกัน
          
            ไม่ว่าจะหน้าตา ทรงผมยังไง ก่อนออกจากบ้าน ทุกคนย่อมสำรวจความเรียบร้อย ส่องกระจก แต่งหน้า ทำผมให้ดูดี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับบุคลิก และความมั่นใจของเธอคนนั้น แต่สำหรับคนอื่น จะมองสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องเล็กกว่า เรื่องของตัวเองเสมอ

            เรื่องทรงผม ก็มีผู้ปรารถนาดี เมื่อเ็ห็นทรงผมของคู่สนทนา ยังดูไม่ดีพอ น่าจะแต่งเติมอีกนิด เพื่อให้บุคลิกดูดีขึ้น  แต่สิ่งนี้ อาจทำให้เธอขัดใจ คิดว่า ทรงผมที่เป็นอยู่ ดีอยู่แล้ว ยังไงก็เป็นตัวของเธอเอง และอยากให้คบกันที่จิตใจ ใช่รูปร่างหน้าตาและทรงผมที่เห็น

            คนรู้จัก สนิทสนมกัน พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ยิ่งมีความจริงใจต่อกันมากเท่าไหร่ ยิ่งพูดตรงไปตรงมา จึงทำให้เกิดการกระทบกระทั่งในความรู้สึกได้ตลอด ยิ่งคู่สนทนาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เป็นคนที่คิดมาก เรื่องเล็กๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ของเธอได้ทันที ..และเรื่องเล็กๆ อาจทำลายความตั้งใจในการทำเรื่องใหญ่ๆที่วางแผนกันไว้ได้ในพริบตา

            ถ้าหากขาดสติ คิดเล็กคิดน้อย ก็จะเกิดอคติ รู้สึกไม่ดีกับอีกคน ทั้งๆที่คนพูด ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น หลายคนพูดแซวเล่น แต่กลับแทงใจดำ ทำลายมิตรภาพที่ดีๆอย่างไม่รู้ตัวมามากมายแล้ว

            เรื่องเล็กทำลายเรื่องใหญ่ได้ตลอด อย่าให้เรื่องเล็ก ทำลายความรู้สึกดีๆที่มีร่วมกันมายาวนานเลย...

            สติสัมปะชัญญะ ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกๆคนอยู่เสมอ....


...........แต่เรื่องทรงผม ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าหากรับไม่ได้เลยกับทรงผมที่เห็น ก็คงรีบเผ่น และเลิกคบหาไปแล้ว


วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรียนรู้กับกลุ่มดินรักษ์ฟ้า - เมื่อการทำงานต้องเชื่อมโยงกัน

         
            คนไทยหลายคน เก่งในการทำงานคนเดียว อาจเพราะ คล่องตัว ตัดสินใจง่าย ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องมีใครมาเป็นตัวถ่วง เช่น เรื่องของกีฬา ประเภทเดี่ยวจะมีนักกีฬาที่เก่งหลายคน ได้แชมป์หลายรายการ แต่กีฬาประเภททีม ไม่ค่อยเก่ง ไม่โดดเด่นจนได้แชมป์โลกมากนัก นอกจากแชมป์ระัดับซีเกมเท่านั้น อีกทั้งความสามัคคีของคนไทย มีน้อย แตกแยก แบ่งฝ่ายกันเรื่อยๆ

            แต่การทำงานเป็นกลุ่ม จะเกิดพลัง โดยเฉพาะกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งมักเป็นกิจกรรมที่หลายคนต้องร่วมใจกันทำ ทำงานเชื่อมโยงกัน และสิ่งเหล่านี้ จะทำให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง+กลุ่ม ให้เติบโตยิ่งขึ้น

            คราวนี้ มาเรียนรู้จากกลุ่มดินรักษ์ฟ้ากันบ้าง ในช่วงเวลานี้ กลุ่มดินรักษ์ฟ้ากำลังทำโครงการพิเศษ การถ่ายทอดเรื่องราวจากภาพในหลวง กับเรื่องราวในแง่มุมที่อยากจะบอก ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 25 เม.ย.2554 โดยพี่แคท Kat Dinrakfah บอกเล่าเรื่องราวของภาพในหลวง ส่งต่อไปให้ลุงสุเวศน์ ถ่ายทอดออกมา มาจนถึงวันที่เขียนนี้ (20 พ.ค.2554) ได้แล้ว 20 ภาพ

            เมื่อเริ่มต้นการทำงานใดๆ ก็ย่อมจะต้องมีเป้าหมาย แล้วเป้าหมายของพี่แคท ทั้งหมด จะเป็นกี่ภาพล่ะ ????



            เมื่อเห็นเป้าหมาย ไ่ม่ว่างานเล็กหรืองานใหญ่ เป้าหมายจะทำให้ทุกคนเห็นว่า จะต้องทำงานชิ้นนั้น ถึงไหน ทำแค่ไหน กำหนดและวางแผนการใช้เวลาในการทำงานได้ ซึ่งการตัดสินใจก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

            ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อถามคนที่ตัีดสินใจ คือ พี่แคท พี่เค้าจะบอกว่า ช่วงนี้ งานประจำยุ่งมากๆ ไม่มีเวลาคิดเลย ต้องคยดูแลหลายอย่าง เหนื่อยมาก เรื่องโครงการพิเศษก็ทำอยู่คนเดียว ให้เวลาบ้างสิ  แล้วตอนนี้ยังไม่ได้สร้างคนที่จะมาช่วยงานดินรักษ์ฟ้า ในส่วนนี้ไว้เลย

            เมื่อทำงาน จะมองเห็นปัญหา อุปสรรค ปัญหาอยู่ตรงไหน ก็ต้องแก้ตรงนั้น เมื่อทำคนเดียว  ยังไม่สร้างคนที่จะมาช่วย เมื่อรู้แล้ว ก็สร้างตอนนี้เลยสิ ในเมื่อจะต้องสร้างคนขึ้นมาอยู่แล้ว .....เหมือนการเพาะต้นกล้า ก็ต้องใช้เวลาในการเติบโต การสร้างคนก็เช่นกัน ย่อมใช้เวลา

            เมื่อเป็นกลุ่มดินรักษ์ฟ้า   เป็น "กลุ่ม" ก็ต้องทำงานแบบกลุ่ม ต้องเิ่ริ่มแบ่งงานให้ได้  การทำงานแต่ละขั้น เ็ป็นโอกาสสำคัญในการสร้างคนทุกเวลา

            กลับมาถึงเรื่องการตัดสินใจเรื่อง จำนวนภาพในหลวง ที่จะถ่ายทอดเรื่องราว การตัดสินใจเรื่องใด ย่อมต้องมีข้อมูลประกอบ เมื่อตัดสินใจยังไม่ได้ว่าควรจะทำในจำนวนเท่าไหร่ ก็ต้องหาที่ปรึกษา เมื่อมี "สิบแสน" เป็นที่ปรึกษา อย่างที่บอกใครหลายคน ก็ไปขอคำแนะนำที่ปรึกษาสิ เอาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ . รวมทั้ง การบอกเล่าเรื่องราว ให้กับคนที่มองไว้ว่าจะเป็นคนที่ สร้างเพื่อมาร่วมงานของดินรักษ์ฟ้า สามารถให้ร่วมตัดสินใจ ฟังแนวคิด เหตุผลในมุมของเขาเหล่านั้นได้ด้วย จะได้ปลูกฝังแนวคิดการทำงาน เหมือนการปลูกต้นไม้ให้เติบโต



            การถ่ายทอดเรื่องราวของโครงการพิเศษที่ทำร่วมกับลุงสุเวศน์ ซึ่งมีวิดีโอบันทึกการบอกเล่า การทำงานไว้  สามารถข้อมูลนำไปอธิบายให้เข้าใจได้ หรือจะลองให้เขาเหล่านั้นได้ลองทำแบบที่ถ่ายทอดเรื่องราวภาพในหลวง โดยการพูดสดๆ ก็เป็นวิธีเพาะต้นกล้าที่ดีเช่นกัน

            * อยากสร้างคนมาช่วยงานกลุ่ม ต้องให้ข้อมูล เปิดโอกาสให้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจด้วย (เท่าที่เป็นไปได้)




            เมื่อมองกว้างๆมากขึ้น ยังมีโครงการของกลุ่มดินรักษ์ฟ้า ที่คิดจะทำ เช่น ทำเพลงของกลุ่ม, โครงการขอเป็นคนดีเพื่อพ่อหลวงที่ชลบุรี และ ฯลฯ ซึ่งต้องตัดสินใจ วางแผนทั้งนั้น จะได้ปรับเวลา วางแผนได้ลงตัว และทันเวลา



            ในส่วนของลุงสุเวศน์ กิจกรรมที่ทำร่วมกับดินรักษ์ฟ้า 1.ถ่ายทอดเรื่องราวจากภาพในหลวง  2. พระมหาชนก
            - ความตั้งใจ อยากให้เสร็จก่อน 5 ธ.ค.2554 วโรกาส 84 พรรษา ได้ทำผลงานสำคัญในชีิวิต
            - เป้าหมาย คือ ทำผลงานในปี 2554 นี้ ปีต่อไปไม่ทำ เพราะท่านมีโครงการจะไปทำอย่างอื่นที่ฝันอยากจะทำ
            - จะต้องแบ่งเวลาให้ลงตัว และเผื่อไว้สำหรับความไม่แน่นอนในอนาคต เช่น เจ็บป่วย, อุบัติเหตุ, งานอื่นที่ต้องทำ

            - ดังนั้น การทำงานเชื่อมโยงกัน เมื่อมีเป้าหมายแน่นอน ชัดเจน จะทำให้คนที่ทำงานเืชื่อมโยงวางแผน กำหนดระยะเวลาได้ชัดเจนขึ้น

            * หลายคนมีโอกาส และเวลา ที่จะตัดสินใจ และทำงานอีกมากมาย
            * แต่สำหรับบางคน มีโอกาส และเวลาเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น


(รวบรวมจากคำแนะนำของหลายคนที่ไปปรึกษาหารือ เ็ป็นความรู้เก็บบันทึกไว้)

พบกับ 2 น้องสาวคนโปรด 2 รสชาิติแห่งชีวิต กลาง พ.ค.2554

            ได้รับสติกเกอร์ "ดินรักษ์ฟ้า ปวงประชารักในหลวง" เลยนึกถึง คนที่อยากมอบให้ ทีแรกตั้งใจว่าจะส่งสติกเกอร์ไปให้ทางไปรษณีย์ แต่เมื่อมานึกดูอีกที เอาไปให้เองกับมือจะดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยากพบเจอ อย่าง 2 น้องสาวคนโปรด การได้พบปะ พบเจอตัวเป็นๆ ให้ความรู้สึกที่ดีๆมากกว่า พบเจอแต่รูป และตัวหนังสือผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเทียบไม่ได้

            นึกถึงน้องคนแรก "น้องแนน" ปุณรดา ซึ่งรู้จักน้องแนนมานานแล้ว เพราะเธอเข้ามาอ่านบันทึกสมัยที่เขียนใน mblog แล้วติดตามอ่านเรื่อยมาตามโอกาสและเวลาจะอำนวย ถามไถ่จึงรู้ว่า อยู่ที่ร้อยเอ็ดนี่เอง เมื่อพูดคุยติดต่อกันแล้ว ถูกชะตาทันที เลยแวะไปเยี่ยมถึงร้อยเอ็ด และกลายเป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

            แต่ก่อน แนน มีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกาย ต้องทนทุกทรมานอยู่นานหลายปีพอสมควร แม้ร่างกายไม่แข็งแรง แต่เมื่อเป็นคนคิดบวก และชอบยิ้ม จึงสามารถผ่านพ้นวันเวลาอันเลวร้ายมาได้ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องงาน เรื่องของคนที่คิดต่างทางการเืมือง วันนี้ แนนเ็ป็นคุณครูที่เริ่มทำงานที่ ต.วังชัย อ.น้ำพอง จ.ร้อยเอ็ด

            เจอแนนครั้งล่าสุด ตั้งเกือบ 1 ปี หรือ ปีครึ่งแล้ว ทั้งที่อยู่จังหวัดใกล้กันแค่นี้เอง วันที่ 15 พ.ค. เลยรีบไปเจอ เพราะแนนไปทำงานเป็นครูที่ขอนแก่น วันเสาร์ต่อไป คือ 21 พ.ค. เป็นวันเกิดของแนน ไม่รู้ว่าจะกลับร้อยเอ็ดหรือเปล่า เพราะช่วงเปิดเทอม งานคงเยอะแน่นอน เลยรีบไปหาซะเลย ที่โลตัสร้อยเอ็ด

            พอได้เจอสักที ก็ดีใจมากๆ นั่งคุยกันสักพักใหญ่ แนนก็เอามือถือของแม่ไปให้ร้านซ่อมดู สายชาร์ทแบตมันหลวม และตัดสินใจซื้อสายอันใหม่ แล้วก็เดินดูของ ดูเสื้อผ้า ที่สวยๆทั้งนั้น หาซื้อรองเท้าไปใส่ในห้องเรียน สักพักก็ขับรถพาไปตลาดยิ่งเจริญ แนนไปเดินชอปปิ้งรองเท้า กระเป๋า เห็นเลือกอย่างคล่องแคล่ว เลืิอกได้รองเท้าคู่น่ารักทั้งนั้น แนนให้ช่วยดูสี ว่าจะเอาสีไหน นายบอนดูบุคลิกแล้วก็ชี้เอาอันที่เข้ากับบุคลิกของแนน แป๊บเดียว เพลินมากๆ บ่าย2 แล้ว แนนต้องไปธุระต่อ เลยมาส่งที่ ขบส. แต่ก่อนออกจากตลาดยิ่งเจริญ เลยให้เอาสติกเกอร์มาติด จะได้ถ่ายรูป เลยถ่ายไว้ 2 มุม ดังภาพที่เห็น


photo bok

photo bok



            มาถึงวันวิสาขบูชา ได้นัดเจอ น้องต่าย ซึ่งเ็ป็นภรรยาของเพื่อน  เริ่มจากรู้จักใน facebook ที่จริงก็รู้จักกันมานานแล้ว เพราะต่ายจะรู้จักเพื่อนของสามีเกือบทุกคน แต่ไม่ค่อยเจอนายบอนสักที ครั้งนี้เลยได้เจอเป็นครั้งแรก

            น้องต่าย ก็มีปัญหาชีวิต คือ เรื่องครอบครัว ซึ่งถือว่าหนัก กระทบความรู้สึกมากพอสมควร แต่วันเวลาที่ผ่านไป ทำให้ต่ายคิดได้ และตัดสินใจทางชีวิตของตัวเองไว้แล้ว ถือว่า ผ่านความทุกข์ ค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆแล้ว แม้บางเวลา อาจจะปรี๊ดบ้างก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องปกติของคนที่เจอปัญหาชีวิตแบบนี้ ที่ต้องรู้สึกแย่ อยากเคลียร์ปัญหาบ้าง

            นัดเจอกันที่กาฬสินธุ์พลาซ่าสาขา 2 ตอนเที่ยง ทั้งที่เจอกันตัวเ็ป็นๆครั้งแรก แต่เหมือนคุ้นเคยกันมานาน พอนั่งคุยกันที่ Hotpot ต่าย ก็คุยๆๆๆๆ เรื่องคาใจ ปัญหาชีวิต ทีแรกที่เริ่มคุย หน้าตาดูเครียดๆ แบกปัญหา แบกโลกไว้ในหัวอยู่ตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เมื่อต่ายได้ระบายความรู้สึก พูดคุยเรื่อยๆ หน้าตาสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่เคยแบกไว้ ถูกวางลงทันที เดินอย่างสดชื่นแจ่มใส ไปที่รถ แล้วก็เอาสติกเกอร์ของดินรักษ์ฟ้่าไปติดที่หลังรถ

            เป็นคนที่สู้ ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาของชีวิตที่ไม่ดี เพราะชีวิตของเรา เรากำหนดเส้นทางเดินได้

photo bok

photo bok


photo bok

      
            น้องต่าย เรียนปริญญาโท ที่ ม.ราชภัฏมหาสารคาม ใกล้จะจบแล้ว แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มีค่าไม่แพ้กัน น้องต่ายได้ปริญญาแห่งชีวิต จากวันเวลาที่ผ่านมา คิดอะไรได้หลายอย่าง ได้แต่หวังว่า เื่พื่อนที่เป็นสามี จะคิดอะไรดีๆได้อย่างต่ายมั่ง

            เวลา 2 ชั่วโมงทั้งที่ร้อยเอ็ด และที่กาฬสินธุ์พลาซ่า ไวมากๆ ต่อไปคงต้องหาวันที่จะมาเจอ 2 สาวนี่อีกครั้งแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัน ...