วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ความเคลื่อนไหวของการทำหนังสือพ็อคเกตบุคส์ สารวัตรจ๊าบ 29-30 ก.ย.2552

   เมื่อพี่น้อย เพ็ญพิมล ใสงาม อยากจะทำหนังสือ พ็อคเกตบุคส์ รวบรวมเรื่องราวของสารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี ออกให้ทัน งาน  "๗ ตุลา ต้องไม่สูญเปล่า"  ในช่วงเวลานี้ จึงต้องเร่งมือกันเต็มที่ เพราะใกล้จะถึงวันงานเข้ามาทุกทีแล้ว



       ช่วงเย็น ๒๙ ก.ย. พี่น้อย  รื้อ ค้น อัลบั้มรูปที่ถ่ายไว้มากมาย ออกมาเลือกรูปภาพที่จะมาใส่ในปกหนังสือ ซึ่งพี่น้อยยอมรับว่า เลือกยากเหมือนกัน "เพราะหน้าตาพี่จ๊าบไม่หล่อ"  เลยต้องขนรูปงานแต่งงาน รูปสมัยรับราชการตำรวจ และรูปที่ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวออกมาดู เห็นรูปแล้วก็นึกถึงความหลัง แล้วก็เล่าเรื่องที่นึกขึ้นได้ให้ฟัง แล้วนายบอนก็ต้องหยิบเนื้อหามาใส่ในเล่ม อย่างเช่น นึกถึงคำพูดที่มีคนตั้งฉายาให้สารวัตรจ๊าบว่า  "นักรบโบราณ" พี่น้อยก็จะค้นหารูป สมุดที่เขียนข้อความไว้อาลัยออกมาให้ดู แล้วให้พิมพ์ข้อความใส่หนังสือด้วย






      บรรยากาศที่พี่น้อย นั่งเลือกรูปภาพเก่าๆ มาใส่ในหนังสือ มีลูกสาวทั้งสองคน มาเล่นซุกซนอยู่ใกล้ๆ


       หลายเรื่องที่รวบรวม เป็นเรื่องที่พี่น้อยพูดออกมาจากความทรงจำ  นึกเหตุการณ์ช่วงไหนก็พูดออกมาให้ฟัง ถ้าไม่มีหลักการรวบรวม ก็คงเป็นปัญหาหนักพอสมควร เลยต้องใช้ Mindmapper รวบรวมประเด็นต่างๆ จัดเป็นหมวดหมู่  ซึ่งทำให้เห็นภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ทันที




mblog photo


    พี่น้อย นั่งคิดชื่อหนังสือ ๒-๓ ชื่อ และตั้งชื่อว่า "ลูกผู้ชายชื่อจ๊าบ" ออกมา  ชื่อนี้ก็เข้าท่าเหมือนกันนะ อาจจะใช้ชื่อนี้เลยก็ได้.....

   
      การ พิมพ์ข้อมูลใน  Ms word  จะมีปัญหาในการจัดรูปแบบตัวอักษร เมื่อเอาไฟล์ข้อมูลไปเปิดในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น รูปแบบที่จัดไว้อาจจะเลื่อน ขยับ จนผิดไปจากแบบที่จัดไว้ คุณนิด เลยแวะเวียนมาที่บ้านพี่น้อย เอาโปรแกรม Acrobat มาลงให้ แล้วก็นั่งคุยกับพี่น้อยหลายเรื่อง ฟังได้ในคลิปวิดีโอ





      มีข้อมูลเกี่ยวกับสารวัตรจ๊าบอีกหลายแง่มุม มีบางเรื่องที่พี่น้อย เล่าให้ฟัง แต่ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ แต่ได้เกร็ดชีวิต และวิธีการทำงานมากพอสมควร  ได้ฟังข้อมูลมาก็รีบเอามาพิมพ์ เลยได้นอนตี ๒ ตี ๓ ตื่นตอน ๖ โมงเช้ามานั่งพิมพ์นั่งจัดกันต่อ



     พี่น้อยอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ ประมาณ ๕,๐๐๐ เล่ม


     อีก ๒๔  ชั่วโมงจะเสร็จมั้ยเนี่ย.....



mblog photo

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

Clip video ครอบครัวสารวัตรจ๊าบไปเที่ยวเขาพนมรุ้ง + เขากระโดง 27 กันยายน 2551

   เมื่อวาน พี่น้อย เอา VCD เก่าๆมาเปิดให้ดู ตั้งแต่ VCD งานพระราชทานเพลิงศพของสารวัตรจ๊าบ เมื่อ 14 ต.ค.2551  นั่งดูไป ก็เช็ดน้ำตา เอาหนังสือมาบังตา ร้องไห้ไปและเอา CD หลายแผ่นที่เก็บไว้ขึ้นมาเปิดดู บอกว่า จะเก็บไว้ให้ลูกๆดูตอนโต


     นี่คือ วิดีโอทีุ่ถ่ายไว้ ในช่วงที่ครอบครัวสารวัตรจ๊าบไปเที่ยวเขาพนมรุ้ง และเขากระโดง ที่บุรีรัมย์ เมื่อ 27 กันยายน 2551   ก่อนที่จะเสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ตุลา 2551 เพียง 10 วันเท่านั้น




โชคดีที่ถ่ายบรรยากาศต่างๆ ภาพเคลื่อนไหว + เสียงของสารวัตรจ๊าบในเวลานั้น เก็บเอาไว้


แกะรอยสารวัตรจ๊าบ : ไปเยือนบ้านสวนเมธี กินข้าวเหนียวไก่ย่าง ที่บุรีรัมย์ เมื่อ ๒๗ ก.ย.๒๕๕๒

          ๒๗ ก.ย.๒๕๕๒ นายบอนมาถึงบุรีรัมย์ ๑๕.๐๐ น. คุณนิดซิ่ง Fino ไปรับที่สี่แยกยืนยง พามาส่งที่บ้านพี่น้อย แล้วซิ่งไปเอา Pen Recorder Digital 4GB มาให้ ครู่หนึ่ง  พี่น้อยโทรมาบอก จะมารับพาไปกินข้าวเหนียว ไก่ย่าง ที่บ้านสวนเมธี  ไม่กี่นาทีก็ขับรถมาบีบแตรที่หน้าบ้าน มาพร้อมกับน้องจ๊ะจ๋า  น้องจันทร์เจ้า แล้วแวะไปรับพี่เจง ที่พี่น้อยแนะนำว่า เป็นหัวหน้าพันธมิตรบุรีรัมย์ จากแถวตลาด  ขนต้นไม้ปปลูกที่บ้านสวนด้วย


         ระหว่างที่พี่น้อยขับรถ ก็พูดถึงชาวพันธมิตร ...." พี่ นิด พิมาย พึ่งโทรมาบอกว่า ไปถ่ายมิวสิควิดีโอเพลง ๗ ตุลา ของพี่ตั้วว่าจะ fax เนื้อเพลงมาให้พี่น้อย  ใน MV มีรูปของสารวัตรจ๊าบด้วย"    แล้วพูดถึงบ้านสวนเมธี  "ตอน งาน ๑๐๐ วัน เคยพากลุ่ม TGO มาที่นี่ พวกเค้าบอกจะมากางเต็นท์ค้างคืน  แต่ตอนนั้นบ้านสวนไม่มีคนอยู่ พวกเค้าเลยไม่พักที่นี่... เห็นหน้าใสๆนึกว่าเป็นนักศึกษา แต่เค้าควักเงินช่วยตั้ง ๕,๐๐๐ บาท ตาเปียกๆ คงเพราะอ่านหนังสืองาน ๑๐๐ วันสารวัตรจ๊าบ  แล้วให้นามบัตรไว้  โห ตำแหน่งใหญ่โตเหมือนกันนะ คน กทม. ทำงานในห้องแอร์ ไม่ได้ตากแดดหน้าเลยดูใสๆมั้ง....  ตอนนี้ที่บ้านสวนเมธี มีการต่อเติม สร้างเพิ่มขึ้นแล้ว ฝากชวน TGO มาเที่ยวอีกนะ พี่จะทำกับข้าวแบบบ้านนอกให้ทาน....."




        ปัจจุบันที่บ้านสวนเมธี มีคุณปอนคอยดูแล ซึ่งเขาอยู่ที่นี่กับภรรยา-ลูก เปิดร้านซ่อม ปะ เปลี่ยนยางรถยนต์ในบริเวณนั้น พร้อมทั้งคอยดูแล คนงานที่มาสร้างรีสอร์ต และช่วยต่อเติมบ้านสวนเมธี - บ้านสารวัตรจ๊าบไปด้วย

methee photo



methee photo

methee photo




      เมื่อพี่น้อยมาพักผ่อนที่บ้านสวนเมธี คุณปอน (อายุ ๒๘) ก็ขนไก่ย่าง ต้มไก่ อุปกรณ์ทำอาหาร ครก สาก  พริก ผักต่างๆซึ่งปลูกได้เองที่นี่ มาตำส้มตำ งานนี้ น้องจ๊ะจ๋า และพี่เจงช่วยกันตำส้มตำ  คุณปอน พี่น้อย ก็ตำส้มตำคนละครก นั่งกินกันไป คุยกันไปแบบสบายๆ หลังจากทานข้าวจนอิ่ม พี่น้อย พี่เจงก็ปลูกต้นไม้ ดูต้นไม้ เก็บดอกแค... น้องจ๊ะจ๋า น้องจันทร์เจ้าก็ลงไปเล่นกะบะทรายและของเล่นในสวนอย่างสนุกสนาน


methee photo

methee photo

methee photo

methee photo

methee photo

methee photo




     พี่น้อยเห็นคุณปอนทำกับข้าวเก่ง ย่างไก่ได้น่ากินเลยบอกว่า เดี๋ยวจะคิดทำแพคเกจให้ ถ้าจะเปิดร้านขายไก่ย่าง ขายคนขับรถที่ผ่านไปมาแวะซื้อเป็นของฝาก  ยิ่งพวกข้าราชการจะแวะซื้อฝากแน่ๆ  เดินดูรอบๆ มีป้ายติดไว้รงทางเข้าสวนว่า "ที่นี่จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ตราขวัญดิน" ด้วย



      พี่น้อยบอกกับพี่เจงว่า  "เดี๋ยวพวกเรามาทำกับข้าว มาพักผ่อนที่นี่กันสัปดาห์ละครั้งดีกว่า ชวนเพื่อนคนอื่นๆมาด้วย  มาพักผ่อนที่นี่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง บรรยากาศสบายๆแบบนี้ ค่อยแวะมาหน่อย



      วันเสาร์ อาทิตย์ พี่น้อยต้องไปร่วมประชุมกลุ่มพันธมิตรบุรีรัมย์ ซึ่งจัดในตัวเมืองและที่หนองกี่ วันนี้ จึงเหน็ดเหนื่อยมากๆ เลยรำพึงออกมาว่า ถ้าตอนนี้ สารวัตรจ๊าบอยู่ พี่น้อยคงไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้ เพราะสารวัตรจ๊าบจะทำหน้าที่เหล่านี้เองทุกอย่าง


     แต่ถึงจะเหนื่อยเพียงใด ก็มีเวลามาพักผ่อนคลายเหนื่อยที่บ้านสวนเมธีแห่งนี้


วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

บรรยากาศงานประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานปี2552 ที่กมลาไสย กาฬสินธุ์

    ก่อนออกพรรษา  ที่ อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ จะมีงานประจำปี " ประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานประจำปี2552 " ระหว่าง 24-27 ก.ย.2552 ณ ลำน้ำชี ตรงบริเวณที่ว่าการอำเภอกมลาไสย ใช้บริเวณนี้เป็นสนามแข่งเรือยาว มีเรือพายจากจังหวัดต่างๆ ขนเรือยาวและฝีพาย มาประชันฝีมือกันอย่างคึกคัก  ที่เห็นๆ มาจาก มหาสารคาม, ยโสธร, อุบลราชธานี และมีจาก ประเทศลาวอีกด้วย



      สำหรับคนเมือง คงไม่เห็นความสำคัญมากนัก แต่สำหรับคนชนบท ชาวบ้านระดับรากหญ้า รากแก้ว นี่คืองานสำคัญที่พลาดไม่ได้ มายืน, มานั่งรอดูการแข่งขันเรือยาว รอดูทีมของตัวเอง ญาติพี่น้อง คนบ้านเดียวกัน ลุ้น เชียร์กันมัน แม้อากาศจะร้อน แดดจะร้อน ก็จะรอดู









      สีสันของการแข่งเรือ คือ คนพากย์ คลิป จะได้ยินเสียงพากษ์เป็นภาษาอีสานล้วนๆ พากษ์เอามัน เอาม่วน สายตาทุกคู่จ้องไปที่เรือที่กำลังแข่ง มีตั้งแต่ 40 ฝีพาย, 50 ฝีพาย จ้วง, พาย จ้วง พายกันคึกคัก ส้มผัสได้ถึงความเข้มแข็ง สามัคคีร่วมแรงร่วมใจ มุ่งสู่เส้นชัยตรงใกล้สะพานข้ามแม่น้ำ เรือลำไหนชนะ จะพายกลับผ่านหน้าเต้นท์กรรมการ-นักพากย์อย่างคึกคัก ลำที่แพ้จะค่อยๆพายกลับมา เป็นจังหวะช้าๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว





นายบอนไปถ่ายรูปให้เพื่อน เลยได้สัมผัสบรรยากาศแข่งเรือยาวกว่า 3 ชั่วโมง ดูจากบนสะพานบ้าง, จากด้านเวทีกรรมการตัดสิน+นักพากย์ และเดินมาอีกริมฝั่งน้ำ ชมหลายบรรยากาศ หลายมุม





เสียดายมีเวลาน้อย และไม่มีโอกาสได้ดูในวันสุดท้าย  27 ก.ย...... แต่ปีหน้า ไม่พลาดแน่นอน
26 sep mblog

26 sep mblog

26 sep mblog

26 sep mblog

26 sep mblog




รำลึกวีรชน ; ค้างคืนที่ห้องนอนของสารวัตรจ๊าบที่บุรีรัมย์ 25 ก.ย.2552

       ใกล้จะถึงวันที่ 7 ต.ค.52 ครบรอบ 1 ปีที่สารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี เสียชีวิตเมื่อปีก่อน  พี่น้อย เพ็ญพิมล ใสงาม อยากทำหนังสือรวบรวมประวัติชีวิต วิธีคิด วิธีการทำงาน คติการดำเนินชีวิต การต่อสู้ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในแต่ละช่วงชีวิตของสารวัตรจ๊าบ เผยแพร่ในรูปแบบของหนังสือ ประสบการณ์เหล่านี้อาจเป็นแรงบันดาลใจ เป็นแนวทางให้หลายคนก้าวสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แม้จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม



       มีเรื่องราวหลายเรื่องที่ยังไม่ถูกเผยแพร่ พี่น้อยไม่มีเวลาเขียน หลายเรื่องเล่าให้ฟังได้ แต่ไม่รู้จะเขียนยังไงดี เลยให้นายบอนมาช่วยเขียนให้ เพราะเคยเขียนบันทึกชีวิตสารวัตรจ๊าบใน mblog ในมุมที่ไม่เหมือนใครเขียน เลยให้นายบอนมาถ่ายทอดเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า



      อยากให้หนังสือออกมาเผยแพร่ทัน 7 ตค.52  ซึ่งดูแล้ว มีเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น  โดยพี่น้อย ให้ไปพักที่บุรีรัมย์ แล้วจะทยอยเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง



       นายบอนไปถึงบุรีรัมย์ แวะเข้าไปที่บ้านสารวัตรจ๊าบในตัวเมืองบุรีรัมย์ในช่วงเย็น พี่น้อย กำลังพาลูกๆทานข้าว นั่งดูทีวีไปพร้อม...พี่น้องก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง นึกอะไรได้ก็เล่าออกมา


       เริ่มจากเรื่องส่วนตัว ชีวิตรัก ชีวิตครอบครัว สลับกับเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง  เรื่องหนึ่ง คือ ในช่วงวันสำคัญที่ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอนันตสมาคม แล้วมีพสกนิกรพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองมารอรับเสด็จ จนเกิดปรากฏการณ์ทะเลสีเหลืองในวันนั้น หลายคนเห็นในหลวง โบกพระหัตถ์ พระพักตร์แจ่มใส หลายคนเห็นภาพนี้แล้วตื้นตันใจ ร้องไห้น้ำตาคลอ  ในวันนั้น สารวัตรจ๊าบ เห็นในหลวงยิ้ม น้ำตาของสารวัตรจ๊าบไหลออกมาอาบแก้ม ที่เห็นในหลวงมีความสุขในเวลานั้น หลังจากที่ไม่ได้เห็นพระองค์ท่านยิ้มเลย เมื่อนักการเมือง"หน้าเหลี่ยม" จาบจ้วงอยู่ตลอดในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น....





      พี่น้อยเห็นแล้ว อึ้ง ที่เห็นสารวัตรจ๊าบน้ำตาไหลถึงเพียงนั้น  สารวัตรจ๊าบ รัก จงรักภักดีต่อในหลวงมาก  ในสมุดบันทึกส่วนตัว ยังเก็บเนื้อเพลง "เรารักพระเจ้าอยู่หัว" ที่วงแฮมเมอร์ มักจะขับร้องทุกครั้งที่ขึ้นเวทีพันธมิตรในช่วงเวลานั้นไว้เสมอ เอาไว้ขับร้องตาม


       พี่น้อยเล่าอีกหลายเรื่อง แล้วก็ให้นายบอนไปพักนอนที่ชั้น 3 ห้องนอนของสารวัตรจ๊าบ ที่จัดห้องนี้ไว้พักในช่วงเวลาที่สารวัตรจ๊าบเป็นหวัด  ปัจจุบันนี้ยังมีคนทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูอยู่




      "ไม่กลัวนะ นอนได้นะ" พี่น้อย ถามย้ำหลายครั้ง




     นายบอนยังไม่เคยมีประสบการณ์เจอผี หรือสิ่งลี้ลับมากนัก ไม่เคยลบหลู่ ครั้งนี้เรามาดี คงไม่เจออย่างที่หลายคนกลัว  ถ้าสารวัตรจ๊าบ อยากบอก เล่าเรื่องอะไรให้ฟัง คงจะบอกผ่านทางพีน้อยเอง



พี่น้อย พาเดินขึ้นไปที่ชั้น 3 เดินไปที่โต๊ะหมู่บูชาพระ


"พ่อ..บอนมา"



     นายบอนสะดุ้ง มองตามพี่น้อย... นั่น อัฐิของสารวัตรจ๊าบ!!  พี่น้อยหยิบธูป 1 ดอก จุดธูปแล้วส่งให้นายบอนไหว้พี่จ๊าบ

26 sep mblog




     ไหว้เสร็จ ก็เปิดประตูห้องนอนพี่จ๊าบให้เข้าพัก




26 sep mblog




      ในห้องมีเตียงนอนอย่างที่เห็น มีห้องน้ำในตัว ตู้เสื้อผ้าในห้องยังมีเสื้อผ้าของสารวัตรจ๊าบอยู่เต็มตู้เช่นเดิม พี่น้อยหยิบเสื้อสีเหลืองที่สารวัตรจ๊าบชอบใส่ทำงานเป็นประจำมาให้ดู มีรอยสกปรกอยู่ สารวัตรจ๊าบใส่แล้ว จะซักเอง แล้วหยิบมาใส่บ่อยๆ ซึ่งเป็นเสื้อที่สารวัตรจ๊าบใส่ในช่วงทำ "สภากาแฟ" ของบุรีรัมย์

26 sep mblog


      เอาเสื้อ 2 ตัวมาถ่ายรูป เสื้ออีกตัว เสื้อยืดสีดำ "ทวงคืนเขาพระวิหาร" ตัวนี้ที่สารวัตรจ๊าบใส่บ่อยๆ ไปบุกทวงเขาพระวิหารในปี 2551 ถ้าสารวัตรจ๊าบยังอยู่  คงสวมเสื้อตัวนี้ นำทัพประชาชนรักชาติไปทวงแผ่นดินเขาพระวิหารในวันที่ 19 ก.ย.2552 อย่างแน่นอน ( แต่ก็มีคนที่นิมิตเห็น สารวัตรจ๊าบ ในช่วง 19 ก.ย.2552 มาบอกว่า จะไปเขาพระวิหาร จะไปช่วยพี่น้องพันธมิตร  เรื่องเขาพระวิหาร เป็นเรื่องที่สารวัตรจ๊าบมีความรู้สึกร่วมอย่างรุนแรงมากๆ  คุณนิดไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้อยฟังแล้ว)



     พี่น้อยให้นายบอนพักที่ห้องนี้ ความจริง เคยมีการ์ด, มีพันธมิตรมานอนที่ห้องนี้มาแล้ว บางคนเจอ บางคนไม่เจอ.....??


       เมื่อนายบอนต้องอยู่คนเดียว ก็หวั่นๆเหมือนกัน กลัวสารวัตรจ๊าบจะโผล่มาทักทายเหมือนกัน ตั้งสติว่า  ผมมาช่วยพี่น้อยถ่ายทอดเรื่องราวของพี่นะครับ ช่วยดลบันดาลให้หนังสือของพี่เสร็จออกมาตามที่พี่น้อยตั้งใจไว้ด้วย



     แล้วนายบอนก็นั่งร่าง ออกแบบเค้าโครงหนังสือ สารวัตรจ๊าบที่จะทำให้ทัน 7 ต.ค. ที่ห้องนอนของสารวัตรจ๊าบจนง่วง เปิดไฟนอน หลับตอนตี 1



หลับๆตื่นๆ เพราะแปลกที่......

     ไม่รู้ว่าสารวัตรจ๊าบมาทักทายหรือไม่ ไม่แน่ใจ ถ้ามา อาจจะมาดูแล มาดูว่า นายบอนทำอะไรในห้องนอนของพี่เค้า



ตอนเช้า ตื่นนอนแล้ว นั่งเขียนร่างๆหนังสืออีกนิด แล้วลงมาข้างล่าง คุณยายถามว่า



"เมื่อคืนเจออะไรมั่งมั้ย เห็นเลขเด็ดอะไรรึเปล่า"


  "ไม่เห็นครับ ง่วงๆเพลียๆ หลับไปเลย"


26 sep mblog




      ตอนสายๆ ก็นั่งฟังพี่น้อยเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อนอีกหลายเรื่อง พี่ป๋องแวะมาช่วงใกล้เที่ยง เล่าอีกหลายเรื่อง  นายบอนขึ้นรถกลับกาฬสินธุ์ตอน 14.00 น.



     แม้จะยาก มีเวลาจำกัด ก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

Clip video ไปเยี่ยมน้องจันทร์เจ้า ลูกสาวคนเล็กของสารวัตรจ๊าบ เมื่อ 25 ก.ย.2552

        ใกล้จะถึงวันครบรอบ 1 ปี ที่สารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ต.ค.51 สำหรับคนที่ยังอยู่ในปัจจุบัน มีหลากหลายความรู้สึกที่เกิดขึ้น หลายคนได้รู้จักกับครอบครัวของสารวัตรจ๊าบ แล้ววันนี้ คนในครอบครัวสารวัตรจ๊าบ อย่าง พี่น้อย เพ็ญพิมล ใสงาม และน้องจันทร์เจ้า ลูกสาวคนเล็ก เป็นอย่างไรบ้างตามไปเยี่ยม 2 แม่ลูกได้จากคลิปวิดีโอนี้เลยครับ






     พี่น้อย ต้องคอยดูแล+ทำหน้าที่หลายอย่าง รวมทั้งไปรับ ส่งลูกสาวด้วยตัวเอง (เดิม สารวัตรจ๊าบจะไปรับ ไปส่งแต่เช้า)  

สารวัตรจ๊าบยังคงอยู่ในใจทุกคนในครอบครัว - และพันธมิตรบุรีรัมย์ทุกคน

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

มีจำนวนมากกว่า แต่ขาดสามัคคี-ไร้ทิศทาง จุดอ่อนของไทยต่อเขมร

มีน้องโทรมาสอบถามการเดินทางไปยังเขาพระวิหาร โดยจะเดินทางไปด้วยตัวเอง ไม่อยากจะเป็นภาระให้ใคร หรือพึ่งพาใครไป อยากจะเปิดโอกาสให้คนอื่นที่อยากไป แต่ติดขัดที่ทุนทรัพย์ และข้อจำกัดหลายอย่าง ได้เดินทางไปกับหมู่คณะต่างๆ จะดีกว่า



น้องสาวของนายบอนคนนี้ มีจุดยืนของตัวเอง ที่ผู้ใหญ่หลายคนต้องอาย!!



น้องเค้าจะเดินทางจาก กทม. ไปกับคุณแม่ และเพื่อนอีกคน คุณแม่ที่สูงวัยแล้ว แต่หัวใจเกินร้อย อยากไปร่วมชุมนุมทวงคืนเขาพระวิหารในวันที่ 19 ก.ย.52 แม้สุขภาพร่างกาย ต้องได้รับการดูแลจากคุณหมอเป็นระยะๆ น้องเค้าถามถึงที่พัก โรงแรมในศรีสะเกษ ถ้าได้ที่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลก็น่าจะดี เผื่อได้พาคุณแม่ไปที่โรงพยาบาล.. น้องเค้าตั้งใจว่าจะเดินทางไปเอง โดยรถไฟด่วน, ด่วนพิเศษจากกรุงเทพ -  ศรีสะเกษ... แม้หัวใจ พร้อมที่จะเดินทางมาเต็มที่ แต่ที่เขาพระวิหาร อยู่กลางป่า ไม่สะดวกสบายเหมือนการชุมนุมที่มัฆวาน-ทำเนียบ ย่อมมีความลำบากมากกว่า ทั้งเรื่องสถานที่ ห้องน้ำ การเดินทาง เลยแนะนำน้องเค้าไปว่า มากับหมู่คณะน่าจะดีกว่า สะดวกกว่าที่จะมาเอง


น้องเค้าเป็นเด็กผู้หญิงที่กำลังเรียนชั้นมัธยมเท่านั้น แต่อยากที่จะมาเรียกร้อง มาดูให้เห็นกับตาว่า เกิดอะไรขึ้นที่เขาพระวิหาร



ติดตามฟังข่าวความเคลื่อนไหวที่เขาพระวิหาร ก่อนจะถึงวันนัดหมาย มีทีมงานของ อ.วีระ สมความคิด เข้าไปอยู่ในพื้นที่เขาพระวิหาร ประมาณ 20 คน อยู่เตรียมการในพื้นที่รอวันนัดหมาย แล้วก็มีข่าวทหารหลายนาย พร้อมอาวุธครบมือ เดินทางเข้าไปเจรจากับทีมงานของ อ.วีระ ขอให้ออกไปจากพื้นที่ ทีมงานของ อ.วีระ ถามว่า แล้วมีสิทธิอะไรที่จะให้พวกเขาออกไป นอกจากเป็นคำสั่งปิดอุทยานแห่งชาติ เขาพระวิหารเท่านั้น



ยังมีข่าวคราว ข้าราชการในศรีสะเกษ สั่งให้ร้านอาหาร งดให้บริการกับพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาชุมนุม, โรงแรมบางแห่ง ปิด, ปั้มน้ำมันปิด ไม่ให้พี่น้องกลุ่มรวมใจทวงคืนเขาพระวิหารได้รับความสะดวก เพื่อจะให้ อยู่ไม่ได้.....ถอยออกไปเอง



คิดแล้วน่าเศร้า แทนที่จะไปผลักดัน ขับไล่คนเขมร ที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย มาตั้งบ้านเรือน ตั้งวัด ซึ่งผิดเห็นๆ แต่กลับมาขัดขวางคนไทยที่จะไปแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ กลัวจะเกิดความขัดแย้ง ได้ยินข่าวนี้แล้วงง .... แทนที่จะผลักดัน ขัดขวางคนเขมร




แต่กลับมาขัดขวางคนไทย....



คงจะมีคนไทยหัวใจเขมรอยู่มากมายในเวลานี้



ประเทศไทย มีประชากรมากกว่า มีทรัพยากรมากกว่า หลายอย่างเหนือกว่า แต่แทบไม่น่าเชื่อ กลับยอมเขมรหลายอย่าง ทั้งๆที่เขมรควรจะยอม และเกรงใจไทยมากกว่า



แต่เพราะคนไทย ขาดความสามัคคี ขาดทิศทาง แม้จะมีคนมากกว่า แต่ก็ไร้พลังที่จะต่อกรกับใครๆ



ติดตามข่าวสารที่หลายคน บ่นว่า เบื่อ เซ็ง  เพื่อนหลายคนไม่คิดที่จะไป แต่เมื่อเห็นความจริงที่เกิดขึ้น จึงทนไม่ไหวแล้วที่จะปล่อยให้เมืองไทยสูญเสียสิ่งที่เป็นของเราไปอย่างง่ายๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย



น้องสาวที่อยู่ใน กทม. เลยโทรมาหานายบอน ถามเรื่องการไปเขาพระวิหาร แม้แต่คุณแม่ซึ่งสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก ยังตั้งใจอย่างเต็มที่...ที่จะเดินทางไปที่เขาพระวิหาร  เห็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว นายบอนเลยต้องแนะนำให้น้องกับคุณแม่ไปกับหมู่คณะที่จะเดินทางไปจะดีกว่า ซึ่งน้องเค้าจะไปกับกองทัพธรรม ซึ่งน่าจะสะดวกกว่า เดินทางไปกันเอง



ไม่มีใครรู้ว่า พวกเราจะเคลื่อนไหวกันต่อไปอย่างไร




แต่การมีจุดยืนที่ชัดเจน มีทิศทางที่แน่นอน และมีความสามัคคี  การขับเคลื่อนขบวนรวมใจไทยทวงคืนเขาพระวิหาร น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีกว่าเดิมแน่นอน..



ดีกว่า รอแต่เจรจา ส่งหนังสือประท้วงเขมร แล้วทหารเขมร ก็เข้ามาบุกยึดพื้นที่ตามชายแดนไปเรื่อยๆ เข้ามาตั้งหมู่บ้าน ส่งคนเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่รัฐบาล และคนที่มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน เอาแต่รอฟังคำสั่งจากรัฐบาล เราคงถูกคนเขมรเข้ามายึดพื้นที่ไปเรื่อยๆ



มีคนบอกว่า
" ทหาร เมื่อไม่ทำงาน ก็อย่ารังแก คุกคาม คนที่ทำเพื่อชาติ อย่าเอาเท้าราน้ำ"

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

มองเกมการต่อสู้ชิงพื้นที่สื่อ ของเหลือง-แดง 19 ก.ย.2552

19 กันยายน 2552 ดูเหมือนจะเป็นวันนัดหมายสำคัญหลายงาน จากขั้วการเมือง 2 ขั้ว ณ ใจกลาง กทม. และ ชายแดนไทย - กัมพูชา ที่ศรีสะเกษ โดยเป็นการนัดรวมพลชุมนุมของ กลุ่มเสื้อแดง นปช. และกลุ่มพี่น้องรวมใจคนไทยทวงคืนเขาพระวิหาร โดยกลุ่มเสื้อเหลืองเป็นหลัก



เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น สื่อกระแสหลัก สื่อฟรีทีวี หนังสือพิมพ์ จะเกาะติดข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ในวันที่ 19 ก.ย.2552 สื่อฟรีทีวี สื่อกระแสหลัก ดูจะสนใจกับการชุมนุมของ นปช.เป็นหลัก ซึ่งจัดการชุมนุมในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวง มีตัวละครที่น่าสนใจหลายคน รัฐบาลออกกฎหมายความมั่นคง เพื่อดูแลควบคุมการชุมนุม  ถ้าเปรียบเทียบกับการต่อสู้  ก็เหมือนมีคู่ต่อสู้ที่มองเห็นได้ชัดเจน ฝ่าย เสื้อแดง มีแกนนำ 3 เกลอหัวขวดและทีมงาน รวมถึงไข่แม้วที่พร้อมโฟนอินได้ทุกงาน และฝ่ายรัฐบาล มีทั้งรองนายกฯ ตำรวจ ทหาร มีประเด็นที่สื่อจะเกาะติดทำข่าว จับประเด็นข่าวมารายงานได้แทบทุกชั่วโมง



ส่วนการชุมนุมที่ชายแดนไทย กัมพูชา คู่ต่อสู้ ฝ่ายหนึ่งคือ กลุ่มประชาชนที่รวมใจไปทวงคืนเขาพระวิหาร นำโดยคุณวีระ สมความคิด ,ทีมงาน และพี่น้องพันธมิตรจากจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ เดินทางไปชุมนุมเรียกร้องอย่างสงบ สันติ ในวันที่ 19 ก.ย.2552 มีข้อเสียเปรียบคือ อยู่ในพื้นที่ที่ไกลสื่อ มีตัวละครที่สื่อฟรีทีวีให้ความสนใจ มีเพียงไม่กี่คน มีประเด็นที่สื่อจะเกาะติดมาทำข่าว รายงานได้น้อยกว่า


และที่สำคัญ ที่ผ่านมา สื่อฟรีทีวี ไม่ค่อยให้พื้นที่ เวลาในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเขาพระวิหารมากนัก  ....ลองไปสอบถามเพื่อนหลายคน รู้เรื่องเขาพระวิหารแค่ไหน  บางคนตั้งคำถามกลับมาว่า มีอะไรหรือ จะชวนไปเที่ยวหรือเปล่า




     มีนักวิชาการที่ขอนแก่นท่านหนึ่งบอกว่า พันธมิตรไม่น่าเลือกวันที่ 19 ก.ย.เลย ไม่ว่าจะทำอะไรแค่ไหน ก็คงไม่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะสื่อกระแสหลักคงจะเกาะติดรายงานการชุมนุมของ นปช.ทุกชั่วโมง จนแทบจะไม่มีพื้นที่ให้กับการชุมนุมที่เขาพระวิหารมากนัก ...ซึ่งข่าวจากเขาพระวิหาร คงต้องติดตามรายละเอียดจาก ASTV เท่านั้น


แล้วในมุมมองของนักวิชาการท่านนี้ มองเหตุการณ์ที่จะเกิดในวันที่ 19 ก.ย.2552 อย่างไรบ้าง



     " ถ้าเกิดเหตุ นปช. พามวลชนไปปิดล้อม ปิดถนน ไปปราศรัยด่าว่าบุคคลสำคัญ แค่นี้พื้นที่ข่าวก็ถูกยึดไปหมดแล้ว ยิ่งถ้าเกิดเหตุรุนแรง มีการปะทะ ทำลายข้าวของ จะเป็นประเด็นข่าวไปอีกหลายวันในสื่อฟรีทีวี  แทบจะกลบข่าวการชุมนุมที่เขาพระวิหารไปเลย.... ถ้าในช่วงเดียวกันนั้น เกิดเหตุประทะ หรือเหตุร้ายที่เขาพระวิหาร สื่อฟรีทีวีอาจจะช่วยปิดข่าว หรือบิดเบือนข่าว ใส่ร้ายกลุ่มผู้ที่เดินทางไปชุมนุมที่เขาพระวิหาร  บิดเบือนผิดไปจากความเป็นจริง ยิ่งคนเสื้อแดง ยิ่งจะช่วยบิดเบือนมากกว่าเดิม ขนาดเหตุการณ์ 7 ตุลา 51 เกิดเหตุใจกลางเมืองหลวงแท้ๆ มีผู้อยู่ในเหตุการณ์มากมาย แต่ยังถูกเอามาบิดเบือน ตีความ ใส่ร้ายป้ายสีกลุ่มคนเสื้อเหลืองได้ตลอด แล้วที่เขาพระวิหารที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยกิโลเมตร จะไม่ง่ายต่อการบิดเบือนหรือ !!! "



    นายบอน - "แล้วการไปชุมนุมที่เขาพระวิหาร จะไม่ได้รับความสนใจ การต่อสู้จะเงียบหายไป สูญเปล่าไปเลยหรือ"



     " คนที่มีหน้าที่ปกป้อง ดูแลประเทศชาติ แต่ไม่ทำหน้าที่ จะพยายามปิดข่าว กลัวข่าวความขัดแย้งรุนแรง จะถูกเผยแพร่ออกมา กลัวจะเสียผลประโยชน์ที่กำลังจะได้รับหลายอย่าง แต่วิธีการเคลื่อนไหวของประชาชนรวมใจทวงคืนเขาพระวิหาร  ถ้าทำให้ฝ่ายเขมร ต้องโวยวายออกมา แล้วภาคประชาชน นำภาพข่าว ข้อมูลที่เกิดขึ้น ออกมานำเสนอให้เห็นหลักฐานอย่างชัดเจน ถ้าความจริงถูกเผยแพร่ออกมา เขมรคงต้องแพ้ไปในที่สุด แต่ฝ่ายคนไทยที่ช่วยเขมร ยอมเขมรทุกอย่าง คงจะนำเสนอข้อมูลหักล้าง บั่นทอนทำลายความน่าเชื่อถือของพี่น้องที่ไปร่วมชุมนุม  ถ้าฝ่ายประชาชนนำเสนอข้อมูลได้ดีกว่า น่าจะทวงคืนพื้นที่ที่ถูกทหารเขมรเข้ามายึดที่เขาพระวิหารได้สำเร็จ  แต่ถ้าชักช้า ไม่ทันเกมของคนไทยที่ช่วยเขมร , สื่อฟรีทีวีกระแสหลัก ที่จะร่วมบิดเบือน แก้ตัว ให้ข่าวว่า ไม่มีอะไรที่ร้ายแรง ฝ่ายประชาชน คงจะเหนื่อยหนักมากกว่าเดิม"



     "ประเด็นที่น่าใส่ใจคือ ทำยังไง ข้อมูลจึงจะไม่ถูกบิดเบือน ทำยังไง พี่น้องที่ร่วมเดินทางไปชุมนุมด้วยหัวใจที่รักชาติ จะไม่ถูกใส่ร้ายว่า เป็นผู้ร้ายทำลายความสงบสุข ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  นักการเมืองที่เคยสนับสนุนการต่อสู้ในช่วง 193 วันของพันธมิตร ในเวลานี้ กลุ่มคนเหล่านั้น พร้อมที่จะทำลายความน่าเชื่อถือ ความชอบธรรมของประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมได้ตลอดเวลา"



นายบอน - "แล้วเราควรจะทำอย่างไรล่ะ"



     "เรื่องนี้คงต้องคิดหาวิธีการกันใหม่แล้ว คิดหารูปแบบการเผยแพร่ข้อมูลที่ต่างจากเดิม อาจจะต้องระดมสมอง นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อย่าง ดร.เสรี วงษ์มณฑา มาคิดรูปแบบการเผยแพร่ข้อมูลที่ต่างจากเดิม ...ถ้ามองจากเหตุการณ์ 7 ต.ค.2551 ที่มีหลายคนได้บันทึกภาพเหตุการณ์ ด้วยกล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายวิดีโอ หลายคนบันทึกเหตุการณ์จริงได้หลายมุม หลายช่วง ทั้งๆที่หลักฐานเหล่านั้นน่าจะนำมาใช้พิสูจน์ความจริงได้ แต่ทำไมกลับถูกบิดเบือน ใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ พวกเราเป็นนักสู้ แต่ไม่ถนัดในการใช้สื่อ เผยแพร่ข้อมูลทำความเข้าใจมากนัก ทั้งๆที่มีข้อมูลความจริงมากมาย แต่ข้อมูลที่เผยแพร่ ส่วนใหญ่แล้ว มีแต่พวกเดียวกันที่รับรู้ อ่าน ฟัง และวิเคราะห์ด้วยเหตุผล แต่ฝ่ายตรงกันข้าม ไม่เคยเปิดใจรับฟังเลย ข้อมูลที่ชี้แจงออกไป เหมือนบอกเฉพาะพี่น้องพันธมิตรเป็นหลัก แต่ไม่ได้ ช่วยอะไรมากนัก"



      "คงต้องหาวิธีการ กลยุทธจากนักสื่อสารมวลชน เพื่อการนำเสนอข้อมูลความจริงสู่สังคมที่เข้าถึงผู้คนและเป็นประโยชน์จริงๆ พื้นที่ในการนำเสนอในรูปแบบที่เคยใช้ คงต้องมองหาวิธีการใหม่ๆบ้าง ถ้าการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เนต หากเผยแพร่ในช่องทางเดิมๆ ด้วยวิธีการแบบเดิมๆ  นำเสนอด้วยลีลาแบบเดิมๆ ก็คงไม่เป็นประโยชน์มากนัก เช่น ถ้าเผยแพร่ข้อมูลในเวบไซต์หลัก ใน webboard, blog ที่เดิม ฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาดู ตั้งป้อมในใจไว้แล้วว่า ถ้าเข้ามาที่เวบแห่งนั้น คือ เข้ามาหาข่าวของฝ่ายตรงกันข้าม เพื่อมาจับผิด มาบิดเบือน โจมตี..เรียกว่า ไม่ได้เปิดใจที่จะรับฟังข้อมูลในที่นั้นแล้ว แต่ถ้าคิดหาการนำเสนอข้อมูลเชิงรุกบ้าง น่าจะได้ผลมากกว่านี้... เหมือนอย่างวงการโฆษณา ยังมีการคิดรูปแบบใหม่ๆที่โดนใจผู้ชมอยู่เรื่อยๆ ถ้าระดมสมองจากนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน มาคิดรูปแบบตรงนี้ได้ การชุมนุมทวงคืนพื้นที่ที่ถูกเขมรเข้ามาบุกรุกที่เขาพระวิหาร น่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าในเวลานี้"



ขอบคุณ ข้อมูลข้อคิด จากนักวิชาการขอนแก่น

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรู้เรื่องอุบัติเหตุบนถนนในเวลาที่ฝนเริ่มตก



      ช่วงที่นายบอนนั่งรถมากับคุณ "ผู้ชายปลายนา" กลับมาจากต่างจังหวัดในช่วงเย็นวันที่ 6 กย ท้องฟ้าข้างหน้ามีเมฆครึ้ม ผู้ชายปลายนาบอกให้ดูลักษณะก้อนเมฆฝน สังเกตหัวเมฆ หางเมฆ ทิศทางการเคลื่อนตัวของเมฆ "เราอยู่ตรงหางเมฆ ฝนคงตกไม่หนักมาก แต่ด้านโน้น ที่เห็นเมฆหนาๆ ด้านนั้นจะตกหนัก"



ขับรถมาอีก 10 กิโลเมตร ฝนเริ่มตกลงมา ผู้ชายปลายนาบอกว่า "ช่วงที่ฝนเริ่มตกแบบนี้แหละ ที่อันตรายที่สุด เกิดอุบัติเหตุง่ายที่สุด ช่วงที่ฝนตกหนักๆ จะเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าช่วงนี้"



เอ๊ะ จริงหรือเปล่านี่?




"ตอนที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ ดินที่ติดมากับดอกยางรถยนต์จะหลุดออก เลอะบนผิวถนน เป็นช่วงเวลาที่ดอกยางเกาะถนนไม่ดี ฝนเริ่มตก น้ำยังไม่มาก น้ำยังล้างดินที่เกาะดอกยางและเกาะผิวถนนออกไม่หมด รถที่ขับตามๆกันมา ถ้าขับเร็ว ประมาท ไม่ระวัง ระหว่างที่ขับรถแซงกัน สวนกัน ถ้าต้องเบรกกระทันหัน หรือ มีอะไรวิ่งตัดหน้า ถ้าเบรคในช่วงเวลานี้ จะเบรคไม่อยู่ รถจะลื่นไถลไป จะไปชนกับรถคันอื่น หรือ พลิกลงข้างถนนได้ทั้งนั้น เพราะดอกยางเกาะถนนได้ไม่ดี"



ผู้ชายปลายนา ขับรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งที่ฝนเริ่มตก ถนนยังดูเปียกแฉะไม่มาก  ดูไม่น่าจะอันตราย แต่พอขับรถมาอีก 30 กิโลเมตร เห็นรถเกิดอุบัติเหตุ, มีรถลงข้างทางแล้วมีรถของมูลนิธิที่มาช่วยเหลือ กำลังดึงรถขึ้นมา  สังเกตดูถนน น้ำก็ยังไม่เจิ่งนอง ดูเหมือนใกล้จะแห้งแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เจอรถเกิดอุบัติเหตุอีกหลายคัน พอรถวิ่งเข้ามาถึงตัวอำเภอหนึ่ง น้ำไหลบ่าท่วมตรงถนน  ไม่เจอรถเกิดอุบัติเหตุเลย



ถ้าจะบอกว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุในตัวอำเภอ ที่มีเครื่องมือ อุปกรณ์ คน พร้อม ย่อมสามารถมาเก็บกู้ ช่วยเหลือได้เร็ว จนไม่เห็นรถที่เกิดอุบัติเหตุ ก็ไม่คงไม่ใช่ อย่างน้อยจะต้องเห็นกรวยสีส้ม, เห็นรถช่วยเหลือ  มีสัญญาณไฟมาตั้งไว้ บอกว่า จุดนี้เกิดอุบัติเหตุ



ข้อสังเกตเรื่องฝนตกใหม่ๆกับดินที่หลุดจากดอกยางรถ เป็นประสบการณ์ที่ผู้ชายปลายนา สังเกตมาหลายปี จึงขับรถด้วยความระมัดระวังในช่วงที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ

คลิปวิดีโอ พันธมิตรกาฬสินธุ์ไปร่วมเสวนา ทำไมต้องการเมืองใหม่ ที่ร้อยเอ็ด

     เมื่อ 5 ก.ย.2552 มีการจัดเวทีเสวนา "ทำไมต้องการเมืองใหม่" ที่ห้องพลาญชัยแกรนด์ โรงแรมร้อยเอ็ดซิตี้
มีพันธมิตรที่เดินทางมาจากขอนแก่น,กาฬสินธุ์,มหาสารคาม,ยโสธร,ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์ มาร่วมในงานนี้กว่าพันคน
ที่น่าสนใจ คือ มีข่าวการไปร่วมเสวนาครั้งนี้ทาง MT Cable TV ของกาฬสินธุ์ นำเสนอภาพข่าว รายละเอียดการเดินทาง
จากกาฬสินธุ์ ไปร่วมเวทีเสวนาในครั้งนี้ด้วย




      นายบอนไม่ได้ไปในงานนี้ แต่ยังมีโอกาสได้เห็นภาพข่าวใน "ข่าวรอบเมืองกาฬสินธุ์"
เคบิลทีวีท้องถิ่นกาฬสินธุ์ ได้ให้พื้นที่และความสำคัญในการเสนอข่าวของพันธมิตร เพิ่มขึ้น

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

"ถ้าผมมีลูก ผมจะเลี้ยงลูกด้วยวิธีการของผมเอง" คำประกาศของผู้ชายปลายนา

     หลายคนมองคนอื่นที่การแต่งตัว ฐานะ ระดับการศึกษา รถที่ขับ อาชีพการงาน เกียรติยศ แต่มองไม่ถึงจิตใจเสียที เช่นเดียวกับผู้ชายปลายนา เพื่อนที่เป็นเจ้าของที่ดินหลายแปลงในพื้นที่หัวไร่ปลายนาในกาฬสินธุ์ หลังจากรักที่หวังไว้ ดูไม่มีโอกาสลุ้นเลย ระหว่างที่ขับรถไปต่างจังหวัด ผู้ชายปลายนาขับรถไปแล้วก็เล่าถึงความตั้งใจบางอย่างให้ฟัง


"ถึงวันนี้ ผมยังไม่รู้ว่า ใครจะมาเป็นเมียผม แต่ถ้าวันนึง ผมแต่งงานแล้วมีลูก ผมจะเลี้ยงลูก สอนลูกด้วยตัวเอง ถึงผมจะมีเงิน มีที่ดิน แต่ก็จะสอนให้เค้าทำหลายๆอย่างให้เป็น จะสอนให้ลูกอยู่ในป่า ใช้ชีวิตอยู่ในป่าให้ได้ ถ้าเข้าป่าจะต้องรู้ว่าจะเอาตัวรอดยังไง กินอะไรในป่าได้บ้าง ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนอก จะอยู่ยังไง อยู่ในเมืองอยู่ยังไง สอนให้เค้าคิดเป็น ทำเป็นเหมือนผม"



ฟังดูดี แต่นายบอนก็แย้งขึ้นมาว่า


" กว่าลูกจะโต แล้วสังคมตอนนั้น เปลี่ยนไปจากวันนี้ แล้วจะสอนเค้าได้เหรอ"



"ผมผ่านอะไรมาเยอะ เจอคนทุกรูปแบบ ผิดหวัง ทำงานพลาด เจออุบัติเหตุก็บ่อย มองเห็นอะไรเยอะ ถ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นออก อ่านเกมออก ก็สอนให้เค้าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ทุกคนก็พลาดกันได้ทั้งนั้น แต่จะพลาดมากหรือน้อย ก็เป็นอีกเรื่องนึง"



"แล้วเรื่องความรัก จะสอนลูกยังไง ขนาดคุณเอง เรื่องความรักยังแห้ว  แล้วจะสอนลูกได้เหรอ จะไม่ถูกหักอก ถูกทิ้งตลอดไปเหรอ"


"ผมจะสอนวิธีดูคน มองคนให้ออก ถึงผมจะแห้ว แต่ก็ดีกว่า คบหาดูใจกันไปแล้วพลั้งพลาดจนเกิดปัญหาแก้ไขไม่ได้ ต้องทุกข์ไปตลอดชีวิต แห้ววันนี้ดีกว่าถลำลึกมากกว่านั้น กลับตัวกลับใจไปเริ่มต้นใหม่ไม่ได้อีก ผมจะสอนสิงที่ผมพลาดไป ให้ลูกรู้จักความรัก และไม่ให้พลาดเหมือนผมอีก"



หลายคนมีลูก แต่ไม่เคยคิดเลี้ยงลูก สอนลูกด้วยตัวเอง ไม่เคยคิดแบบผู้ชายปลายนา หน้าตาธรรมดาๆคนนี้



คิดแต่จะหาเงินให้ลูกใช้ เท่านั้น...

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

MV ขอทำเพื่ออ้าย ลูกทุ่งบัลลาดบาดใจเมียหลวง ของ ศิริพร อำไพพงษ์

       ศิริพร อำไพพงษ์ ศิลปินหญิงลูกทุ่งหมอลำที่มีผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีผลงานเพลงใหม่ ชื่อ "ขอทำเพื่ออ้าย" เนื้อหาสะท้อนความรู้สึกของผู้หญิง  โดนใจสาวหลายๆคน โดยเฉพาะ "เมียหลวง"  นั่งดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้แล้ว ถึงกับอึ้ง ที่ความรักอยู่เหนือความแค้น แม้จะเห็นกับตาว่า สามีแอบมีผู้หญิงอีกคน  แต่เมียหลวง ก็ยัง "ขอทำเพื่ออ้าย"



       เห็นหลายคู่ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ ทั้งเจ็บ แค้น ต้องลุยกันข้างนึง แต่วิธีคิดแบบครูสลา คุณวุฒิ ผู้แต่งเพลงนี้ ดึงความรู้สึกลึกๆของผู้หญิงถ่ายทอดออกมาโดนใจจริงๆ ขนาดคนที่นายบอนรู้จัก ยังร้องออกมาว่า ทำไมถึงตรงกับชีวิตของเธอถึงขนาดนี้
 





       ศิริพร อำไพพงษ์ นักร้องเสียงแหบเสน่ห์ มีเพลงสร้างชื่อ คือ "โบว์รักสีดำ" "ปริญญาใจ" ฯลฯ หลายเพลงที่เกี่ยวกับชีวิตของผู้หญิง - เมียหลวง - เมียน้อย ศิริพรเป็นนักร้องเพียงไม่กี่คนที่ร้องเพลงแนวนี้ได้โดนใจยิ่งนัก



       ถ้าดูละครในฟรีทีวี เรื่องผัวๆเมียๆ วิธีคิด วิธีการ จะตรงกันข้ามกับที่เห็นใน MV "ขอทำเพื่ออ้าย" จริงๆ



ดู MV http://www.youtube.com/watch?v=1VmYWIyJMxQ

เนื้อเพลง ขอทำเพื่ออ้าย
ศิริพร อำไพพงษ์ - ขอทำเพื่ออ้าย

คำร้อง /ทำนอง สลา คุณวุฒิ
เรียบเรียง ธีระพงษ์ ศักดิ์แก้ว



คนฮักนอกใจถามว่าใครบ่เสียใจบ้าง
เจ็บอีหยังสิเท่าทนฟังคนนินทาแฟน
แต่ที่ยังนิ่งเพราะมีสิ่งหนึ่งอยู่เหนือความแค้น
คือฮักที่ยังฝังแน่นต่ออ้ายบอกใจให้ทน



รับใครอีกคนเก็บไว้บนห้องลับใจอ้าย
ถึงจับบ่ได้ก็รู้สึกได้กลุ้มใจกังวล
ทำให้รู้ว่าหน้าที่ของแฟนอีกข้อคือทน
น้ำตาแทบมีเลือดปนเจ็บต้องทนกลืนความเสียใจ




ขอทำเพื่ออ้ายบอกใจฝึกช้ำให้ชิน
สิบ่ได้ยินถึงผู้คนนินทาแค่ไหน
บ่อยากให้เห็นก็สิบ่เห็นที่อ้ายเป็นไป
จะใช้คำว่าฮักอ้ายอธิบายกับทุกคำถาม




ใครเขาประณามหมิ่นและหยามว่าโง่ก็ช่าง
เจ็บกี่ครั้งสิยังรักษาฮักเฮาให้งาม
ท่องความดีอ้ายห่อฮักเคยให้ห่มใจทุกยาม
รับมาร้อยเจ็บพันช้ำถือว่าได้ทำช้ำแทนคุณใจ



ใครเขาประณามหมิ่นและหยามว่าโง่ก็ช่าง
เจ็บกี่ครั้งสิยังรักษาฮักเฮาให้งาม
ถึงฮักโดนแบ่งอ้อมกอดโดนหารใจโดนคุกคาม
ถ้าอ้ายสุขที่ได้ทำสิยิ้มงามๆ รับความช้ำใจ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

เค้กวันเกิดจากใจกับรักของผู้ชายปลายนา

     วันคล้ายวันเกิด Happy Birthday เป็นวันที่มีความหมายหลายอย่าง ทั้งกับเจ้าของวันเกิดและคนที่มีเจ้าของวันเกิดอยู่ในหัวใจ .ต้นเดือน ก.ย.... เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่า วันนั้นจะเป็นวันชี้ชะตาความรักของผู้ชายคนหนึ่ง !!



คุณเอ็กซ์ ได้เจอสาวบีช่วงสงกรานต์ 52 ที่ผ่านมา ในงานสังสรรค์ของเพื่อนสมัยเรียนมัธยม คุณเอ็กซ์ได้พบเพื่อนเก่าหลายคน ได้แต่มองสาวบีอยู่ห่างๆ พอเดือน พ.ค.2552 เมื่อไปงานศพงานหนึ่ง คุณเอ็กซ์มีโอกาสนั่งกินข้าวใกล้ๆ สาวบี นั่งพูดคุยกันถึงรู้ว่า สาวบียังโสด คุณเอ็กซ์เลยพูดไปว่า เมื่อบียังโสด งั้น เอ็กซ์ขอจองไว้เลย  เดี๋ยวจะขอแต่งงานละกัน สาวบีก็พูดรับมุขไปตามน้ำ แต่หลังจากวันนั้น คุณเอ็กซ์บอกว่า เขาชอบบีจริงๆ คิดจะจีบจริง และแต่งงานกับบีจริงๆ



คุณเอ็กซ์เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายกับบี เอ็กซ์ชอบบีมาตั้งแต่สมัยเรียน เคยขอรูปถ่าย 1 นิ้วของเธอไว้เป็นที่ระลึก อยากจะเข้าไปจีบตั้งแต่สมัยโน้น  แต่บีเรียนอยู่ห้อง 1 ส่วนเอ็กซ์อยู่ห้องที่เรียนปานกลาง เอ็กซ์ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดบี เพราะเพื่อนๆผู้หญิงคอยกันท่าเอาไว้ เลยได้แต่แอบรักแอบคิดถึง  มาจนถึงปีนี้ เมื่อรู้ว่าบียังโสด ก็ขอจีบล่ะวะ



เอ็กซ์โทรไปหาบีหลายครั้ง บีเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องที่มีรุ่นพี่คนบ้านเดียวกัน มาจีบเธอ พ่อแม่เธอก็สนับสนุนให้รักกับพี่คนนี้ เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แต่บีบอกกับเอ็กซ์ว่า เธอไม่มีโอกาสรู้จักเขามากนัก รู้จักแค่ผิวเผิน และรู้สึกเฉยๆกับพี่คนนี้ ..เมื่อเล่าให้เอ็กซ์ฟังแบบนี้ คุณเอ็กซ์ก็มีความหวังกับรักครั้งนี้...



เดือนต่อมามีนัดกินข้าวอีกครั้ง เอ็กซ์นั่งมองหน้าสาวบี มีเพื่อนอีกคนนั่งคั่นระหว่างกลาง  เอ็กซ์และบีไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย จากวันนั้น เอ็กซ์มั่นใจว่าบีมีใจให้กับเขาแน่ๆ



เดือนต่อมา  เอ็กซ์ไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง แวะไปเจอบี บีก็คุณกับเพื่อนอีกคน แต่หางตามองมาทางเอ็กซ์ เอ็กซ์พยายามสังเกต และตีความ เธอเขินรึเปล่าหรือฟอร์ม  เอ็กซ์พยายามโทรไปหาเธอทุกวัน บีก็รับบ้าง ไม่รับบ้าง บีบอกว่า ถ้าไม่ได้รับโทรศัพท์ อย่าโกรธเธอนะ เพราะเธอเป็นครูในวิทยาลัยแห่งหนึ่ง งานเยอะมาก เอ็กซ์ เป็นเจ้าของสวนยางพารา เอ็กซ์มักจะพูดถึงความใฝ่ฝันและการวางแผนชีวิตสำหรับอนาคต เมื่อธุรกิจการทำสวนยางพาราได้กำไร เขาจะปลูกบ้าน,ทำรีสอร์ตเล็กๆ และไปขอบีแต่งงาน



...แต่เอ็กซ์ได้เจอบีเดือนละครั้ง บีไม่ค่อยว่าง เตรียมการสอน และไปอบรมอยู่บ่อยๆ


ปลายเดือน ส.ค. เอ็กซ์รู้ว่า ใกล้จะถึงวันเกิดบี เขาเตรียมตัวไปเซอร์ไพร์สวันเกิด แต่บีว่างเฉพาะช่วงพักเที่ยง ช่วงเย็นกว่าเธอจะเลิกงานก็ราวๆ 2-3 ทุ่ม และไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เอ็กซ์เลยตัดสินใจบุกเซอร์ไพร์สสาวบีตอนเที่ยงวัน



ในเกิดของบี เอ็กซ์ชวนเพื่อนสนิท (ก็นายบอนนี่แหละ) ไปซื้อเค้กวันเกิดตั้งแต่ 3 โมงเช้า เลือกเค้กช็อคโกแลต 2 ปอนด์ ที่บีชอบ เขียนข้อความบนหน้าเค้กที่อุตส่าห์คิดมาทั้งคืน แล้วไปที่ห้าง ไปหาดูการ์ดอวยพรวันเกิด เห็นกิฟช็อปเลยไปเลือกของขวัญ เลือกโบว์ เลือกกระกาษ ห่อของขวัญอย่างดี เลือกการ์ดใบเล็กๆ เขียนข้อความจากใจ ติดกับโบว์กล่องของขวัญ



ตอนไปห้าง ขับรถไปไม่สังเกตป้ายสัญญาณไปขับรถสวนทางในถนนที่เดินทางเดียว เจอตำรวจเขียนใบสั่ง จ่ายไป 300 บาท เกือบเที่ยงพอดี รีบขับรถไปยังที่ทำงานของสาวบี



เที่ยงเศษ เพื่อนของเอ็กซ์โทรหาบี บอกว่า มีคนฝากของมาให้ (ถ้าเอ็กซ์โทรเอง บีคงไม่รับ) เดินเข้าไปในที่ทำงานของบี เธอบอกอยู่ที่อาคารหนึ่ง กำลังยุ่งๆ แวะมาละกัน แต่ไม่มีเวลาทานข้าวเที่ยงด้วยนะ หนุ่มเอ็กซ์ให้เพื่อนเดินนำหน้า ถือกล่องคนละกล่อง


พอสาวบีโผล่ออกมาจากประตูห้องประชุม  เพื่อนก็เอากล่องของขวัญไปให้ หนุ่มเอ็กซ์ก็โผล่มา ยื่นกล่องเค้กให้ "Happy  Birthday นะครับ"

b-x birthday




สาวบีเอื้อมมือมารับ พูดว่า "ขอบคุณค่าๆๆๆๆๆๆๆ " แต่ไม่ค่อยมองตาหนุ่มเอ็กซ์มากนัก หันมาพูดกับเพื่อนมากกว่า แค่ 1 นาที สาวบีก็ขอตัวไปทำงานต่อ  "งานยุ่งมากๆ" หนุ่มเอ็กซ์ก็เดินยิ้มออกมา แค่นี้ก็พอใจแล้ว เดินมาหาข้าวกลางวันกินที่โรงอาหารในที่ทำงานของสาวบีนั่นเอง กินไปยิ้มไป


วันถัดมา ช่วงเย็น หนุ่มเอ็กซ์โทรไปหาสาวบี ถามว่า กินเค้กรึยัง เธอตอบว่า "ไม่มีเวลากินเลย งานยุ่งมากๆ ตอนนี้กำลังกินข้าวกับพี่คนหนึ่งอยู่ เค้าพึ่งมาจากต่างจังหวัด"


"พี่คนนี้ (ชื่อ...) ใครเหรอ"
" พี่คนนี้ (ชื่อ...) ก็แฟนเราไง"



เอ็กซ์ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก ผ่านไป 2 ชั่วโมงถึงโทรมาหาเพื่อนสนิท เล่าเรื่องราวให้ฟัง "พูดแบบนี้เค้าหมายความว่ายังไงเหรอ"


....เอ็กซ์ระบายความรู้สึกเกือบครึ่งชั่วโมงจนแบตมือถือหมด ....โดยสรุปแล้ว เขายังคาใจ สาวบียังมีใจให้กับเขาหรือเปล่า



วันต่อมา หนุ่มเอ็กซ์ ส่งข้อความมาบอกว่า พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ไม่อยากจะโทรคุยกับใครมากนัก


....ยังนึกไม่ออกว่าจะปลอบคุณเอ็กซ์ยังไง เลยโทรไปถามความเห็นใครคนหนึ่งใน กทม.
 

" บอกพี่เค้าทำใจเถอะ คิดซะว่า เค้าไม่ใช่คู่ของเรา หรือจะพาพี่เค้ามา กทม. ก็ได้ เผื่อมาเห็นสาวๆเซ็นเตอร์พอยต์ แล้วจะดีขึ้น"



รักครั้งนี้ เป็นรักที่จริงจังของหนุ่มเอ็กซ์ แอบรักมานานกว่า 20 ปี เมื่อดูมีความหวัง เลยทุ่มเทไปกู้เงินมาซื้อที่ดินเพิ่มอีกหลายไร่ หวังสร้างหลักปักฐานให้มั่นคง ก็เพื่อเธอที่รอคอย แต่ดูเหมือนว่า เธอจะเลือกเขาคนนั้นซะแล้ว



2 เดือนที่ผ่านมา เธอไม่มีเวลาคุยโทรศัพท์กับเอ็กซ์เลย เจอหน้าก็ไม่ค่อยมองหน้า ไม่พูดด้วยเหมือนหลายเดือนก่อน



เอ็กซ์บอกว่า ก็คงต้องทำใจ แต่ก็ยังคาใจว่า บีคิดยังไงกันแน่.....

....เวลาที่ผู้ชายเจ็บปวดผิดหวังจากความรัก มักพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะร้องไห้เสียใจแบบผู้หญิงก็ร้องไม่ออก สิ่งที่คาดหวังไว้ หายวับไปกับตา วันเกดิก็อุตส่าห์หยุดงานมาซื้อเค้ก รอมอบเค้ก พูดอวยพร เจอหน้าแค่ 1 นาที ... แต่ดูเหมือนไม่มีความหมายในสายตาเธอเลย ....เค้กก็ยังไม่มีเวลาตัด....!! แต่มีเวลามานั่งกินข้าวกับพี่คนนั้น!!!

นายบอนเลยได้แต่พูดว่า



...."ไปคิดเองละกัน ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น คนที่เค้ามองเห็นคุณค่าในตัวนาย ถ้าเธอคนนั้นรู้ว่า นายจริงใจขนาดไหน เรื่องลงทุนซื้อที่ดิน วางแผนทำไร่ ทำรีสอร์ต เพื่ออนาคตของครอบครัว เพื่อให้ลูก เมียสุขสบาย... เธอคนนั้นจะรักนายอย่างสุดหัวใจแน่นอน"