วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

Clip video กี้ มะหมาพันธุ์ฺคอกเกอร์ หลังคลอดลูกหมาน้อย 8 ตัว



หลังคลอดได้ 1 ชั่วโมง เมื่อ 26 ม.ค.2553
http://www.youtube.com/watch?v=gyXVS9RTwwE&feature=player_embedded


---

กับลูกๆทั้ง 8 ตัวเมื่อเช้า 27 ม.ค.2553

http://www.youtube.com/watch?v=tQa7mut1K2U&feature=player_embedded

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

เงินก้อนเล็ก ปันน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยเฮติกับคำสบประมาทของคนบางคน



            ภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวจากเฮติ ที่เผยแพร่ไปทั่วโลก เห็นแล้วน่าสลดหดหู่ ทั่วโลกร่วมช่วยเหลือ - บริจาค ตามกำลังทรัพย์ ก่อนหน้านี้ มีข่าวรัฐบาลไทย บริจาคเงินช่วยเหลือ 20,000 เหรียญ  (US dollar) ก็มีคนเอาไปพูดเปรียบเทียบกับฮุนเซนแห่งเขมร ที่ให้เงินตั้ง 50,000 เหรียญ  ใครบางคนเอามาพูดเยาะเย้ยว่าให้น้อยกว่าเขมรและประเทศอื่นๆอีก
            เดี๋ยวนี้ ถ้าบริจาคเงิน ต้องทำบุญและคิดถึงหน้าตากับขี้ปากของชาวบ้านด้วยเหรอนี่

+ + ++

            คุณวิรัตน์ ขอนแก่น บ่นๆมาดังๆ เบื่อพวกคนไทยหัวใจเขมร มีเรื่องอะไรก็มักจะเอาไปเทียบกับเขมร แล้งนายกเขมร ดูแลประชาชนของตัวเองดีกว่า ประชาชนคนไทยรึเปล่าล่ะ แล้วไอ้คนที่พูดเปรียบเทียบ น่ะ คนพูดบริจาคเงินรึยัง บริจาคไปกี่เหรียญล่ะ

            .. มีการเปิดบัญชี ตั้งกองทุนรวมน้ำใจชาวไทย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฮติ  ทั้งของรัฐบาล, สภากาชาดไทย, กระทรวงการต่างประเทศ... ของรัฐบาล ..

            ชื่อบัญชี "รวมน้ำใจชาวไทย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฮติ"
            เลขที่บัญชี 067-0-05765-7 ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยทำเนียบรัฐบาล

            คุณวิรัตน์ จดเลขบัญชี ใส่กระดาษ เดินไปบอกบรรดาพรรคพวกในตลาด มีเพื่อนๆอยากร่วมทำบุญเช่นกัน แต่ไม่สะดวกไปธนาคาร และไม่ได้จดเบอร์บัญชีไว้ ก็เลยร่วมกันควักเงินคนละ 10 บาท 20 บาท รวมกันได้ 300 บาท  คุณวิรัตน์ก็ร่วมควัก 100 บาท เดินไปตู้ ATM  หน้าเซเว่นอีเลฟเว่น กดโอนเงินไป 400 บาท แล้วเอาสลิปโอนเงินมาให้เพื่อนๆดู  ทุกคนยิ้ม..

            มีคนอยากบริจาคเงินด้วย คุณวิรัตน์เลยให้ใบจดเลขที่บัญชีไป ให้ไปโอนเงินที่ธนาคารกรุงไทย  มี 2 ครอบครัว ไปเขียนใบฝาก / โอนเงิน 200 บาท และ 300 บาท  กดบัตรคิวและโอนเงินในเวลาไม่นาน  จ่ายค่าโอน 30 บาท ได้หลักฐานโอนเงินมา...
            "เฮ้ยๆ บริจาคเงินช่วยชาวเฮติรึยัง บริจาคได้ที่เลขที่บัญชี......" คุณวิรัตน์ ส่ง  SMS  ให้เพื่อนๆของเขา และฝากให้ช่วยส่งต่อๆกันไป
            แหม ไอเดีย ดีจัง

            พอทำบุญไปแล้ว คุณวิรัตน์ก็มานั่งคุยกับพรรคพวกว่า คิดยังไงที่มีคนบางคนพูดถึงเขมรว่า บริจาคเงินมากกว่ารัฐบาลไทย
            " กูขายของได้กำไรวันละ 300-400  บาท ตะกี้ยังไปร่วมบริจาคให้ 100 บาท ลูกชายที่อยู่ ม.3 ยังอดขนม 20 บาท บริจาคด้วย กูรู้สึกดีว่ะ เพราะนี่มันเงินกู ไม่ได้โกงใครมา  ถ้าไอ้คนที่พูดมันอาย ก็บริจาคเงินให้มากกว่านั้นสิ มากกว่าเขมรไปเลย"
            "เห็นรัฐบาลกู้เงินมาเยอะ ถ้าเอาเงินมาบริจาคเพื่อเอาหน้า จะไม่เป็นหนี้มากกว่านี้เรอะ"
            คนไทยร่วมบริจาคตั้งเยอะ น้ำใจคนไทยไม่แพ้ชาติไหนอยู่แล้ว
            นายบอนก็ไปร่วมบริจาคผ่านตู้ ATM  แล้ว แม้จะแค่ไม่กี่ร้อยบาท แต่ก็ไม่รู้สึกอายใคร เหมือนกับเพื่อนๆหลายคน  แต่ถ้าเกิดมีใครจะพูดเปรียบเทียบเหมือนเขมร หรือจะบริจาคมากกว่าหลายเท่า ก็พูดได้ตามสบายครับ
            .. เพราะเงินที่บริจาคไป จะได้ไปช่วยชาวเฮติด้วย

+++++
รวมน้ำใจช่วยชาวเฮติ

อัพเกรด mblog และไอเดียของคุณ korpai กับความผูกพันดี ๆ



            mblog.manager.co.th  พื้นที่บอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้หลายคนได้รู้จัก ใกล้ชิดกัน ผ่านเรื่องราวทางตัวอักษร เข้ามาตามอ่านบ่อยๆจนผูกพัน หลายคนรู้สึกเหมือนเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านแห่งนี้ที่ได้มาจับจองพื้นที่ไว้ ...เมื่อมีบ้านก็อยากตกแต่ง ต่อเติมให้บ้านน่าอยู่ขึ้น เข้าออกได้สะดวกวสบาย

            แต่ mblog เป็บเวบไซต์ที่ใครๆก็เปิดเข้ามาดูทางอินเทอร์เนตได้ เวลาผ่านไป การเปิดเข้าเวบก็เริ่มช้า เริ่มอืด หลายคนก็บ่น แต่เพราะความผูกพัน จึงยังคงเข้ามาเปิดดูต่อ เข้ามาเขียนต่อ อยู่ต่อ

+ + ++

            มองดูที่อื่นๆ เวบไซต์อื่น จะมีการปรับปรุง อัพเกรด มีอะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามา แต่  mblog  นานทีปีหนจึงจะอัพเกรด เมื่อเข้าเวบช้า เวบอืด ก็มีเพื่อนๆบ่น, เรียกร้อง และเสนอแนะให้ mblog  ปรับปรุง เพื่อให้เร็วขึ้น คนที่ดูแล mblog  ก็คงอยากทำเหมือนกัน แต่มีงานอื่นๆที่ต้องทำอีกเยอะ

            พี่กอไผ่ http://mblog.manager.co.th/korpai  เข้าไปทิ้ง comment  ในหลายๆ  blog  เปิดประเด็น รวมใจชาว mblog   อยากนัดเจอกัน จนถึงไอเดียตั้งเวบใหม่กันดีมั้ย    



            เรื่องการตั้งเวบใหม่ นายบอนมีเพื่อนที่ลงทุนเปิดเวบไซต์ขายสินค้า บางคนก็ทำเวบให้บริษัท ใช้เงินไม่ถึง 3,000 บาท เช่า โดเมน , พื้นที่เก็บข้อมูลในอินเทอร์เนต ลงโปรแกรมทำเวบไซต์สำเร็จรูป อยากได้อะไรเพิ่ม ก็จ่ายเงินเพิ่ม ก็จะได้ option  ที่ต้องการในเวบ ทันที
           
            พี่กอไผ่ เสนอไอเดียจากความผูกพัน ห่วงใย ต่อหมู่บ้าน mblog  แห่งนี้ขึ้นมา แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า  ถ้าหากคนสำคัญๆในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ อย่าง คุณสนธิ คุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, เจ้ปอง คุณประพันธ์ หรือ ผู้ดำเนินรายการหลายคนใน  ASTV  มาเขียน  mblog  จริงๆจังๆ หากเกิดปัญหาเวบช้า เวบอืด mblog  จะได้รับการแก้ไขทันที เผลอๆ  mblog  จะมีอะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอย่างมากมาย ไม่แพ้เวบไซต์อื่นๆ

            แต่ในเวบ manager.co.th  มีพื้นที่ส่วนอื่นๆ ที่มีคนอ่านมากกว่า มีเนื้อหาที่เข้มข้นกว่า สร้างรายได้ให้มากกว่า เหมือนเป็นตัวเมืองใหญ่ ที่มีความสำคัญกว่าหมู่บ้าน mblog  เล็กๆแห่งนี้
            แต่หมู่บ้านเล็กๆ ก็เติบโตเป็นเมืองได้ในอนาคต ช่วยสนับสนุนเมืองใหญ่ได้เหมือนกัน  ถึงแม้เรื่องการอัพเกรด  mblog  จะต้องรอต่อไป กว่าที่หมู่บ้าน  mblog  จะเข้ามาดู อ่านได้สะดวก ทันใจกว่าในตอนนี้
           
            (บางช่วงเวลา ก็เปิดเข้าดูได้สะดวก แต่บางช่วงเวลา เปิดเข้ามาดูช้ามากๆ คงเพราะมีคนเปิดเวบในช่วงนั้นพร้อมกันเยอะ..)

++++
mblog

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

เราจำเป็นต้องมี blog, Hi5, Msn Facebook, Twitter ด้วยหรือ?




            เดี๋ยวนี้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ หลายคนพยายามวิ่งไล่ตามให้ทัน ในอินเทอร์เนต มีช่องทางติดต่อสื่อสารหลายช่องทาง อย่าง  blog, Hi5, Msn Facebook, Twitter  เจอเพื่อน  เพื่อนบอกให้  add  ของเขาด้วย , เธอเล่นเอ็มมั้ย มีเฟสบุครึเปล่า พอเมล์ไปหาเพื่อนบางคน เค้าตอบเมล์กลับมา แล้วบอก  blog, Hi5, Msn Facebook, Twitter ของเค้ามาให้ด้วย

            "แล้วเราจำเป็นที่จะต้องมีทุกอย่างเหมือนเพื่อนรึเปล่า มีแค่อย่างเดียวได้มั้ย เพราะไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนมาเล่นได้ทุกอย่าง " น้องคนหนึ่งตั้งคำถามมา
+ + +

            เออ.. นั่นสินะ เราจำเป็นต้องมีทุกอย่าง ต้องใช้มันหมดทุกอย่างเหรอเปล่านะ  ทุกอย่าง ก็ต้องใช้เวลาในการเข้าระบบไปใช้งาน แม้จะให้สมัครใช้ได้ฟรีก็ตาม  เราจำเป็นต้องมีทุกอันรึเปล่านะ ถ้ามีไม่ครบทุกอัน จะผิดกฏหมายมั้ย ตำรวจจะจับรึเปล่านะ

            ถ้ามีเวลาพอ และแต่ละวันอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จะลองสมัครและลองใช้ทุกอย่างก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร มันเป็นเหมือนกระแสอย่างหนึ่ง ถ้ามันมีประโยชน์ เราก็จะใช้ได้นาน ถ้าไม่มีประโยชน์ ไม่มีเวลาใช้ ก็เลิกสนใจไปเอง
            "เห็นคนที่เค้ามีทุกอัน เค้าเอาเวลาที่ไหนมาเล่น เอาอะไรมาโพสต์ มาคุย เราเองแทบจะหาเวลาว่างไม่ได้เลย"


            เวลาของแต่ละคนต่างกัน บางคนยุ่งตลอด บางคนมีเวลาว่างเยอะ ก็เล่นได้เยอะ บางคนก็แอบเล่น เล่นทั้งวันทั้งคืน เรื่องที่เอามาโพสต์มาคุย ก็อยู่ที่ประสบการณ์ มุมมอง ความคิดของแต่ละคนว่าสนใจเรื่องไหน  ถ้าจะหาเพื่อนคุยกันแบบสดๆ ก็ใช้  Msn  ถ้าจะสร้างกลุ่มเพื่อน สร้างเครือข่าย ก็ใช้ Hi5, facebook จะหาช่องทางในการกระจายข่าวสาร หรือ ติดตามข่าวสารแบบกระชับฉับไว ก็ใช้ twitter   ถ้าอยากเขียนบันทึก อยากเผยแพร่ข้อมูล เขียนไดอารี บอกเรื่องที่อยากบอกให้คนอื่นรู้ ก็ใช้  blog  แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่าง มันเชื่อมโยง ดึงข้อมูลระหว่างกันได้หมด
           
            "ถ้าเรามีพวกนี้แล้ว เราจะต้องตกแต่ง ใส่ลูกเล่นแค่ไหน แล้วจะหารายได้จากพวกนี้ยังไง ถึงจะได้เงินเยอะๆ"
            การตกแต่ง ใส่ลูกเล่น ใส่กราฟฟิก กลิตเตอร์ เพลง ฯลฯ เป็นสีสันที่ทำให้ไม่น่าเบื่อ ดึงดูดใจ อยากทำแค่ไหนก็ตามสะดวก พอได้แต่งก็ชักสนุกเหมือนกัน  ช่องทางการสื่อสารเหล่านี้ ถ้าไปอ่านในเวบบอร์ดหลายแห่ง บอกว่า เป็นช่องทางหารายได้เสริมได้ด้วย ทั้งการประชาสัมพันธ์สินค้า, ขายสินค้า ติดป้ายโฆษณา และอื่นๆ จะได้เงินมาก หรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือ แต่กว่าจะได้เงินจากหน้าจอ ก็ต้องใช้เวลาทุ่มเทอย่างมากเหมือนกัน ... มันน่าสนใจ เพราะมันดูง่าย อยู่ที่บ้านก็ทำได้



            แต่ความจริงแล้ว ถ้าเทียบกับการทำงานในโลกความเป็นจริง ในเวลาเท่ากัน ในโลกความเป็นจริง จะได้เงินในจำนวนที่แน่นอนกว่า แต่ในโลกอินเทอร์เนต อาจเป็นเพียงกระแสวูบวาบในช่วงหนึ่งเท่านั้น
            เราตกอยู่ในกระแสข่าว สื่อโฆษณามากไปหรือเปล่านะ"

            ถ้าเราสมัครใช้ทุกอย่าง รู้ว่าใช้ประโยชน์ยังไง รู้ข้อดี ข้อเสียของมัน รู้ทันเทคโนโลยี ก็จะไม่ถูกหลอกง่ายๆ  ถือว่าเป็นกำไรชีวิตได้เหมือนกัน

            "รู้ดีกว่าไม่รู้"


++++
Internet, Hi5, facebook, msn, twitter, technology

เมื่อญาติข้างบ้านแอบขโมยบัตรเอทีเอ็ม (ATM) ไป

              บัตรเอทีเอ็ม ธ.กรุงไทยของเพื่อนคนหนึ่งหายไป เขารู้ว่าหายในระหว่างที่ไปซื้อของที่ตลาด กว่าเพื่อนจะโทร 1551 เพื่ออายัดบัตรเอทีเอ็ม เงินในบัญชีก้หายไปส่วนหนึ่ง เมื่อกลับบ้าน ก็เจอบัตรเอทีเอ็มตกอยู่ หยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่า เป็นบัตรที่พึ่งโทรแจ้งอายัดนั่นเอง
+ + + +

            พอไปเช็คข้อมูลการกดเงิน มีการกดเงินจากบัญชีในช่วงเช้าก่อนเวลาที่เพื่อนจะไปซื้อของที่ตลาด แสดงว่า บัตรของเพื่อนหายไปก่อนเช้าวันนั้น เพื่อนสงสัยญาติคนหนึ่งที่อยู่บ้านติดกัน เข้าออกบ้านของเพื่อนอยู่บ่อยๆ วันก่อน เพื่อนวางกระเป๋าเงินไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน บัตรเอทีเอ็มก็อยู่ในกระเป๋าเงิน ญาติคนนี้คงจะแอบเข้ามาขโมย แล้วเอาไปกดเงินตอนเช้า
            เพื่อนเขียนรหัสผ่านของบัตรเอทีเอ็มไว้กับบัตร เพราะพึ่งไปเปิดบัญชีทำบัตรเอทีเอ็มมาได้ 1 สัปดาห์ เมื่อไปสอบถาม คาดคั้นความจริงจากญาติคนนั้น ในที่สุด ญาติคนนั้นก็รับสารภาพ แต่ไม่มีเงินมาคืนให้ เพราะเอาไปใช้หมดแล้ว ญาติอีกคนก็เข้ามาไกล่เกลี่ย ขอยอมความ แค่นี้ขอกันกินได้ เดี๋ยวมีเงินเมื่อไหร่ จะเอามาใช้คืนให้

            แต่เพื่อนไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ขนาดแอบเข้ามาขโมยบัตรเอทีเอ็มจากโต๊ะทำงานในห้องนอน แล้วต่อไปจะแอบมาขโมยของอะไรในบ้านอีกล่ะ  ถ้าถูกจับได้จะต้องยอมความ ไม่ให้เอาเรื่องเพราะเป็นญาติกันอย่างนั้นหรือ
            คนในบ้านของเพื่อน ก็มีความเห็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอก ต้องเอาเรื่อง เพื่อไม่ให้ทำแบบนี้อีก อีกฝ่ายหนึ่งบอก เป็นญาติพี่น้องกัน อย่ามีเรื่องเลย ถือซะว่าทำบุญ ช่วยเหลือกันดีกว่า
       
            เพื่อนเลยไปปรึกษาพรรคพวกที่เป็นทนายความ และตัดสินใจว่า ต้องเอาเรื่อง ดำเนินคดีลักทรัพย์กับญาติคนนี้ เรื่องเงินนั้น ขอยืมกันดีๆก็ให้ ถ้าเดือดร้อนเรื่องใด ขอความช่วยเหลือกันก็ได้ แต่แอบมาขโมยบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินแบบนี้ มันเกินไป
            แม้จะเป็นญาติพี่น้องกันก็ตาม แต่ก็ต้องเอาเรื่องเพื่อให้รู้สำนึก หรือ จนกว่าจะมีหนทางเยียวยาแก้ไขให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

            เรื่องแบบนี้ต้องระมัดระวัง หลายอย่าง
            - อย่าเก็บรหัสบัตรเอทีเอ็มไว้กับบัตร
            - เก็บกระเป๋าเงินไว้ในที่มิดชิด ล็อคกุญแจไว้ด้วยก็ดี

+++
ขโมยบัตรเอทีเอ็ม

อีกหนึ่งเสียงสะท้อนในวันเกิดที่ทำการพรรคการเมืองใหม่ 19 ม.ค.2553





        จากการรวมตัวเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ จนพัฒนามาเป็น "พรรคการเมืองใหม่"  ซึ่งมีหลายคนไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมือง เพราะการเมืองภาคประชาชน เป็นพลังสำคัญและมีความหมายในช่วงที่ผ่านมา และอยากให้สิ่งนั้น มีอยู่ต่อไป  ดูเหมือนจะมีความเห็นในลักษณะที่แตกแยก  รวมถึง เพื่อนพันธมิตรคนหนึ่งที่ขอนแก่น บอกว่า จะเลิกเป็นพันธมิตร ถ้ามีการตั้งพรรคการเมือง แล้ววันนี้ เมื่อมีการเปิดที่ทำการพรรคการเมืองใหม่แล้ว เพื่อนพันธมิตรคนนั้น จะรู้สึกอย่างไร




คุณวิรัตน์ ขอนแก่น ไปนั่งคุยกับเพื่อนของเขาคนนี้ ในระหว่างการนั่งดูถ่ายทอดสดการเปิดที่ทำการพรรคฯ ทาง ASTV  ในช่วงสายๆวันที่ 19 มกราคม 2553


            " มาถึงวันนี้ ต้องให้กำลังใจแล้วล่ะ การริเริ่มสิ่งใหม่ย่อมเหนื่อย ต้องฝ่าฟันคำสบประสาท ต้องอดทน และพิสูจน์ตัวเองว่าจะก้าวข้ามวงจรการเมืองน้ำเน่าได้ไหม"
           
            "ฟังคุณสนธิปราศรัยแล้ว ชัดเจนมาก เพราะพรรคการเมืองใหม่ เกิดจากมวลชนพันธมิตร ต้องมีอุดมการณ์ที่ชัดเจน จะเป็นจระเข้ขวางคลองพวกนักการเมืองน้ำเน่าต่อไป"
           


            "ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ ทำงานเป็น บอกแนวทางของพรรคได้ชัดเจนดี"
     

      ปีที่แล้ว เพื่อน พธม.คนนี้ ยังรู้สึกต่อต้านการตั้งพรรคการเมืองใหม่อย่างรุนแรง  แต่ทำไมวันนี้ ถึงเปลี่ยนใจล่ะ


            " ติดตามการเมืองช่วงที่ผ่านมา ดูเน่ากว่าเดิม แน่นอนว่า ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ดีที่สุด  ความจริงมีทั้งคนดี คนเลว แต่เราสามารถเลือกคนที่เลวน้อยกว่าได้ หลายคนมองพันธมิตรในแง่ลบ เกลียดคนเสื้อเหลือง แต่ก็ไม่เคยรับรู้ว่า นักการเมืองหลายคนมีพฤติกรรมที่ไม่ดียังไง สื่อฟรีทีวีไม่เสนอข่าวก็เลยมองว่า พวกนั้น เป็นคนดี"

            "เราอยู่ตรงนี้ รู้จักหลายคนที่ขึ้นไปยืนบนเวทีในวันเปิดที่ทำการพรรค คนธรรมดาหลายอาชีพ เป็นกรรมการบริหารพรรคได้ ไม่ค่อยได้เห็นในพรรคการเมืองเก่าๆของไทย"


            คุณวิรัตน์ ถามว่า ตอนนี้ หันมาสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่แล้ว จะไม่ขัดแย้งกับเพื่อนที่ไม่เห็นด้วยเหรอ


            "ยังคุยกันได้เหมือนเดิมนะ เพราะเป็นสิทธิของแต่ละคนในการตัดสินใจ สังคมไทยควรมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นมา เป็นทางเลือกบ้าง แม้จะมีอุปสรรคอีกเยอะ แต่ก็ดีกว่าจะไม่เริ่มต้นทำอะไรเลย"
       


            อย่างน้อย คุณวิรัตน์ ก็พบว่า เพื่อน พธม.ของเขาคนนี้ ความคิดเปลี่ยนไป มีเหตุผล เปิดใจยอมรับในเรื่องนี้มากขึ้น จากที่ไม่เคยยอมรับมาก่อน








“สนธิ” ถือฤกษ์ 09.06 น.เปิดป้ายพรรคการเมืองใหม่ “บิ๊กบัง” -“บัญญัติ” โผล่ยินดี
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000007643

Clip video เมื่อมะหมา อยู่ในอาการ "เป็นสัด"




            อาการ "เป็นสัด"  เป็นอาการตามธรรมชาติที่ต้องการผสมพันธุ์ เมื่อร่างกายของตัวเมียมีความพร้อม จะมีการปล่อยกลิ่น หรือ ฮอร์โมนบางอย่างออกมา ทำให้สัตว์ตัวผู้ เกิดอาการอยากผสมพันธุ์ทันที และเวลานี้ มะหมาที่บ้านของนายบอน เกิดอาการดังกล่าวขึ้น

            เมื่อสุนัขตัวผู้ 4 ตัว เกิดอาการดังกล่าว แล้วตัวเมียที่มีตัวเดียวจะไหวหรือ ทั้ง 4 หนุ่ม เลยพยายามรุม เพื่อผสมพันธุ์ อย่างที่เห็นในคลิปวิดีโอ ถ้าเป็นคน ก็ถือเป็นการรุมโทรม รุมข่มขืน  จากที่เห็นในคลิป เลยต้องแยกขังตัวเมียไว้ในกรง พอเปิดกรงเพื่อเปลี่ยนน้ำ ให้อาหารทีนึง ตัวผู้จะรีบฉวยโอกาสเข้าไปในกรงทันที














            แต่จังหวะนี้ ตัวผู้ไม่มีโอกาสได้ผสมพันธุ์ เพราะถูกจับแยกออกมาจากกรงซะก่อน แต่บรรดา
หนุ่มๆมะหมา ก็หาโอกาส ผสมพันธุ์อยู่ตลอดเวลา  จนกว่า จะพ้นช่วง "เป็นสัด"

-++++
เป็นสัด, ช่วงผสมพันธุ์

สัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติ ก่อนปี 2012 (สึนามิ, เฮติ, โลกร้อน, ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ)




            ภาวะโลกร้อน และความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ ทำให้เพื่อนหลายคนตื่นตระหนก เกี่ยวกับปี ค.ศ.2012 ว่าจะถึงวันสิ้นโลก มีทั้งภาพยนตร์ บทความ หนังสือเรื่องวันสิ้นโลก 2012 ออกมา เพื่อนบางคนไปซื้อมาอ่าน แล้วยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น เพราะคนเรายิ่งทำลายธรรมชาติมากเท่าไหร่ อายุของโลกคงจะสั้นลงไปเรื่อยๆ

+ + ++

            การเกิดสึนามิในปี 2547 จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ประเทศเฮติ ที่มีคนตายเกือบแสน คนสูญหายมากมาย ภาพคนนอนตายเกลื่อนเมือง สภาพศพที่อืด เน่าเหม็น และจะต้องเกิดการเผาศพหมู่เป็นจำนวนมากตามมา บ้านเมืองอลหม่าน วุ่นวาย ถนนถูกตัดขาด ไฟฟ้าไม่มี ผู้คนอดอยากหิวโหย บางจุด เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดกล่องที่ส่งมาช่วยเหลือ ชาวบ้านผู้หิวโหย วิ่งเข้ามายื้อแย่ง จนเหมือนจะรุมทึ้ง รุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือ และในสถานการณ์เช่นนี้ ยังมีนักฉกฉวยโอกาสเกิดขึ้นมากมายในสถานการณ์ที่เฮติ ซึ่งเพื่อนหลายคนที่ติดตามข่าวจากทีวี หรือ เวบไซต์แล้ว เศร้าสลดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทยหรือที่ไหนๆในโลก





















            กระแสข่าวที่ว่า ปี ค.ศ.2012 จะถึงวันสุดท้ายของโลก บางคนเชื่อ บางคนไม่ปักใจเชื่อ แต่ธรรมชาติที่แปรปรวน ก็ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้
            อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

            เพื่อนคนหนึ่ง เฉยๆกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า
            " คนเราอยู่กันอย่างทับถมในสิ่งที่เรียกกันว่า เมือง เรากำลังจมอยู่ในของเสียของตัวเอง  เราพยายามที่จะหนีจากธรรมชาติ เอาชนะธรรมชาติ ทั้งที่ความจริงแล้ว เราต้องอยู่กับธรรมชาติ เมื่อสมดุลที่เคยเป็นมันเสียไป ธรรมชาติจึงต้องปรับตัวเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง โลกร้อนและความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศจะเกิดขึ้นถี่ยิ่งขึ้น เพื่อกลับไปสู่สมดุลเดิม เหมือนไดโนเสาร์ที่เคยยิ่งใหญ่ แล้วต้องสูญพันธุ์ไป เกิดสิ่งใหม่ ชีวิตใหม่ขึ้นมาแทน หลังปี ค.ศ.2012 จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น"

            ไม่มีใครรู้ว่า ข้อคิดนี้ จะบอกอะไร แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง เช่น เหตุการณ์ที่ประเทศเฮติ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเราจะเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือไม่
   
            เรารู้เพียงแค่ชีวิตในวันนี้ เวลานี้
            ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

+++++
ข้อคิด, ภัยธรรมชาติ, วันสิ้นโลก2012

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

ในความผิดพลาดของลูกศิษย์กับหนึ่งคุณครูในดวงใจ





      ถ้าเรานึกถึง "คุณครู" หลายคนมีครูในดวงใจ ที่จดจำได้ไม่เคยเลย  ซึ่งท่านจะเป็นครูที่มีบางสิ่งที่ต่างจากครูท่านอื่นที่เคยสอนเรา จึงเข้าไปอยู่ในความทรงจำของเราได้อย่างไม่รู้ลืม



    หนึ่งคุณครูในดวงใจของนายบอนก็มีเช่นกัน เป็นครูที่คอยสอนสั่งในสมัยที่ยังเรยนอยู่ที่ขอนแก่น


           ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น วัยแรง ทุกคนย่อมเคยทำผิด ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความสนุกสนาน และความคึกคะนองไปตามเรื่อง เมื่อทำผิดจึงมักจะถูกตัดสินทำโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง


            วันหนึ่ง คุณครูท่านนี่เรียกนายบอนไปพบ ก่อนจะเข้าพบ นายบอนนึกหาคำแก้ตัวไว้มากมาย แต่พอเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้าคุณครู ท่านนั่งอบรมสั่งสอนเป็นชั่วโมง ก้ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ ด้วยความอึดอัด อยากให้พูดจบเร็วๆ แต่ก็ตั้งใจฟังจนจบ พร้อมก้มหน้ายอมรับผิด


           หลังจากนั้น ยังเผลอทำผิดในเรื่องอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องใหญ่ ท่านก็จะเรียกมาอบรมสั่งสอนนานเป็นชั่วโมง ทั้งๆทีท่านก็มีงานกองเต็มโต๊ะทำงานที่จะต้องเร่งมือทำ แต่ท่านก็ให้เวลามาอบรมสั่งสอนเราเต็มที่  คืนวันนั้น ท่านนั่งทำงานจนถึง 3 ทุ่ม จึงได้กลับไปพักผ่อน
           

            เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงวันนั้น ไม่น่าเชื่อว่า คำสั่งสอนในวันนั้น นายบอนกลับจดจำได้ขึ้นใจมากกว่าวิชาที่ท่านสอนเพื่อสอบเอาคะแนนซะอีก  แต่คำสอนนอกตำรา ในยามที่ทำผิด กลับช่วยหล่อหลอมให้คนที่เคยทำผิด รู้จักผิดชอบชั่วดี ทำผิดก็รู้จักแก้ไขให้ถูกต้อง


            คำหนึ่ง ท่านบอกว่า "คนเราทำผิดกันได้ ทำผิดแล้วต้องรู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเอง ดีกว่าทำผิดตลอดไป"


            ...เพราะเป็นศิษย์มีครู มีครูที่ให้เวลาอบรมสั่งสอนให้รู้ผิดรู้ถูก ให้เป็นคนยอมรับความจริง แล้วคิดดี ทำให้ดีกว่าที่อดีต  ...เมื่อเราต้องเป็นคนคอยอบรมตักเตือนคนอื่น  ได้หยิบยกคำสอนสั่งของครูในวันนั้น เอามาพูดอีกครั้ง  มานึกดูแล้ว อึ้ง คุณครูใช้เวลาอบรมสั่งสอนร่วมชั่วโมง เราก็เอาคำพูดของครูมาพูดเตือนสติคนอื่นในวันนี้ได้

            .
นายบอนอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด แต่โชคดีที่มีครูที่ชื่อ "นฤมล" ที่เคยสอนสั่งในห้วงเวลาที่เราทำผิดในวันนั้น


           ช่วงปีใหม่ 2553 เปิดอีเมล์ ดูอีการ์ด , เมล์ที่สวัสดีปีใหม่แล้ว นายบอนถึงกับอึ้ง คุณครูที่ชื่อ "นฤมล" ท่านส่งอีเมล์มาอวยพรปีใหม่ให้นายบอน กับข้อความอวยพรเพียง 2 บรรทัด ไม่มีอีการ์ด กราฟฟิ รูปภาพใดๆ มีแต่ตัวอักษรเท่านั้น .. แต่กลับมีคุณค่าทางใจยิ่งนัก


สวัสดีปีใหม่คะ
          ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองคุณ  และครอบครัวให้ประสบแต่ความสุขความเจริญคะ
นฤมล

            ถึงแม้จะเรียนจบ จากท่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ท่านยังคงจดจำลูกศิษย์คนนี้ ที่ไม่มีอะไรดีเด่น มีผลงาน มีความสำเร็จเชิดหน้าชูตาในสายอาชีพที่ท่านสอน...
            ... แต่ครูยังจำได้ .....




            "คุณครู ผู้ที่เป็นมากกว่า ครูทั่วๆไป"

ข้อคิดสะกิดใจจากรายการจอเหลือง ณ สันติอโศก 16-17 ม.ค.2553



            ดูรายการจอเหลือง ที่ใช้สถานที่ถ่ายทำ ณ สันติอโศก แล้วนำมาออนแอร์ทาง  ASTV   เมื่อช่วงบ่าย 16-17 มกราคม 2553 พี่ตั้วและทีมงาน มาเล่าถึงเบื้องหลังการทำรายการจอเหลือง และ ดิออดิชั่น และเปิดใจบอกถึงความเป็นจริงในการทำรายการและก้าวเดินต่อไปของรายการจอเหลือง

            ถามคุณวิรัตน์ ขอนแก่น ที่เฝ้าดูรายการนี้เช่นกัน เขาบอกว่า ดูแล้ว เข้าใจถึงสัจธรรมที่ว่า ทุกอย่างมีเกิดมีดับ ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ดีใจที่พี่ตั้วและทีมงาน มาจัดรายการจอเหลืองที่เอเอสทีวี

            ถ้าเป็นรายการวาไรตี้ของฟรีทีวี คงไม่มีใครมาพูดถึงเบื้องหลังรายการและเปิดใจให้ฟังอย่างนี้ มีแต่จะเลิกทำรายการไปเลย

            แต่รายการจอเหลืองไม่ใช่แบบนั้น คนดูคอยช่วยเหลือ เอาใจช่วย ส่งกำลังใจ กำลังเงิน บริจาคเข้ามา ส่วนพี่ตั้ว ก็บอกตรงๆว่า จะจัดรายการต่อไป เมื่อคนยังต้องการที่จะดูต่อไป จะทำต่อไปตามที่ผู้ชมคาดหวังตั้งตารอชม
       
            รายการจอเหลือง อาจจะมีคนที่คอยจับผิด อิจฉา ริษยา หาเรื่อง ยุแยง หาช่องทางบ่อนทำลาย ฯลฯ แต่จะมีผู้จัดรายการทีวีคนไหนที่พูดความจริงกับคนดูแบบนี้ ตั้งใจที่จะสู้ต่อไป ทำรายการเพื่อคนดู ต่างจากรายการในฟรีทีวีที่ใช้เรตติ้งที่บริษัทโฆษณาทำขึ้นมา ใช้ตัดสินว่า รายการใดควรจะอยู่หรือเลิกจัด

            ดูพี่ตั้วและทีมงาน อ่าน-ตอบจดหมายที่มีคนเขียนมาชื่นชม ให้กำลังใจ เสนอไอเดีย รูปแบบรายการที่น่าจะทำ รวมทั้งมีคนที่เสนอตัวเข้ามาร่วมงาน เพื่อช่วยทำรายการ   คุณวิรัตน์ ขอนแก่น ถึงกับชื่นชมว่า

            " เค้ายอมรับฟังความเห็นจากผู้ชม เอามาอ่านออกอากาศด้วย รายการในฟรีทีวีไม่มีแบบนี้หรอก รายการจอเหลืองเป็นรายการที่คนดูรู้สึกใกล้ชิด ผูกพันกับคนทำรายการ"
       
            คุณวิรัตน์ ไปค้น หนังสือพิมพ์เก่าๆ เมื่อ 5 ปีก่อน เห็นชื่อรายการที่เคยดูในฟรีทีวียุคนั้น ซึ่งตอนนี้เลิกจัดไปแล้ว  ไม่มีใครพูดถึง และไม่เคยอยู่ในความทรงจำ ต่างจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของเอเอสทีวี ที่มีคนพูดถึงอยู่
            " จอเหลืองนี้อยู่ในใจนะ เพราะเพื่อน พี่น้องไปออกรายการนี้หลายคน ศิลปินคนโปรดก็ไปออกรายการด้วย ถึงวันนี้จะจัดรายการแบบนั่งคุยกันเฉยๆ แต่ก็ได้รู้ว่าคนทำรายการคิดอะไรมั่ง  แบบนี้ พี่ตั้วน่าจะจัดรายการสดๆ ในห้องส่ง ให้คนดูส่ง  SMS มาทักทาย ถามไถ่ แล้วพี่ตั้วตอบสดๆ คุยกันสดๆ คงจะดีไม่น้อย ... แต่ถึงจะจัดในรูปแบบที่ผ่านมา พอดูตอนรีรันอีกรอบ ได้เห็นแง่มุมอีกหลายอย่างที่พึ่งเข้าใจ ส่วนจอเหลืองจะเป็นยังไงต่อไปคงเป็นเรื่องของอนาคต ถ้าถึงวันนั้น พี่ตั้วและทีมงาน คงมีตำคอบให้และอาจจะมีอะไรใหม่ๆดีๆมาให้ได้ดูอีก"



            ....ความผูกพันต่อรายการนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ ไม่ค่อยได้ติดตามชม หรือไม่สนใจรายการจอเหลืองในรูปแบบที่ได้ดูในเวลานี้ เพราะมีรายการในอีกหลายช่องที่น่าติดตามชมมากกว่า แต่อย่างน้อย ก็ยังมีผู้ชมรายการอีกมากมาย ที่เป็นแฟนรายการ และติดตามชมรายการจอเหลืองอย่างเหนียวแน่น เสมอมา...


            เป็นอีก 1 มุมมองที่ต้องบันทึกเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีมุมมองความรู้สึกในแบบนี้กับรายการของช่องฟรีทีวีหรือเปล่า...








+++
จอเหลือง, เอเอสทีวี

ความหวังดีของคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น




            หลายคนเคยมีเพื่อนที่ชอบยุ่ง วุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นไปทุกเรื่อง แต่ในบางครั้ง  เพื่อนแบบนี้ก็ช่วยเหลือเพื่อนได้เช่นกัน  ถ้าเค้าไม่สนใจ ห่วงใยเรา คงไม่มายุ่ง วุ่นวายกับเราหรอก

+ + + + +

            สาว "มด" เข้ามาเรียนวิทยาลัยเทคนิคในเมืองกาฬสินธุ์ เช่าหอพักในเมือง มดเป็นคนที่ชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่นแทบทุกเรื่อง แรกๆ หลายคนก็รำคาญ  แต่แล้วก็เคยชินกับพฤติกรรมของมด อย่างน้อยก็มีคนช่วยจำ ช่วยเตือน ถึงจะน่ารำคาญก็เถอะ

            นักเรียนนักศึกษาที่มาเช่าหอพักในเมืองมักจะเก็บสิ่งของมีค่าไว้ในหอพัก ตั้งแต่เงิน, สร้อยคอ, คอมพิวเตอร์ฑโน้ตบุค เพราะคิดว่าปลอดภัย เจ้าของหอพักน่าจะคอยดูแลให้

            มีข่าวหอพักนักศึกษาถูกงัดประตู ข้าวของในห้องพักถูกรื้อค้น ขโมยเงินและสิ่งของหลายอย่างไป สาวมดก็พยายามเตือนเพื่อนให้ระวัง เพราะหอพักที่เช่าอยู่ก็อาจถูกงัดได้ เพื่อนๆได้แต่ เออ..ออ แต่คิดกันว่า ปลอดภัย เพราะหอพักอยู่ติดถนนใหญ่ คนที่คิดจะงัดประตู คงยากที่จะทำได้

            เพื่อนห้องข้างๆสาวมด แต่งตัวออกไปเรียนหนังสือตอนเช้า  สาวมดเอาหนังสือที่ยืมไปอ่านมาคืน เจอเพื่อนอีกคนอยู่ในห้อง สาวมดเข้าไปคุยด้วย สายตาเหลือบไปเห็นลิ้นชักโต๊ะอ่านหนังสือ แง้มนิดนึง  เลยไปดึงออก  เห็นของในลิ้นชัก และเงิน 5000 บาท และสมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย มดเลยบ่นว่า ทำไมเก็บเงินไว้แบบนี้ เดี๋ยวหายหรอก เพื่อนที่อยู่ในห้องได้แต่ส่ายหัว บอกว่า อย่าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นนักเลย  เจ้าของเงินก็เก็บไว้แบบนี้มาตั้งนานแล้ว  เย็นนี้ เค้าจะกลับบ้าน กลับมาวันจันทร์ เค้าก็จะเอาเงินไปใช้เองแหละ

            แต่สาวมดกลัวจะหาย เลยหยิบเงิน 5000 บาท และสมุดบัญชีธนาคารของเพื่อนคนนั้น ไปธนาคาร เขียนใบฝากเงิน ฝากเงินเข้าธนาคาร พอตอนเย็น ก็เอาสมุดบัญชีมาคืนที่ห้อง เพื่อนร่วมห้องก็ได้แต่บ่นให้อีกยกใหญ่

            วันเสาร์ เพื่อนร่วมห้องออกไปที่วิทยาลัยตอนสายๆ กลับมาตอนบ่าย ประตูห้องถูกงัด ข้าวของในห้องถูกรื้อค้นกระจาย นาฬิกาของเธอหายไป

            ห้องข้างๆ ก็ถูกงัดด้วย

            สาวนักศึกษาแต่ละคนกลับมาถึงหอพัก ได้แต่ก่นด่า สาบแช่งหัวขโมย ตำรวจมาสอบสวนหาร่องรอยคนร้าย ตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อนสาวที่กลับบ้าน ก็รีบกลับมาที่หอ  เธอร้องไห้โฮ เพราะเงิน 5000 ที่พึ่งถอนจากธนาคาร จะเอามาใช้ คงถูกหัวขโมยเอาไปหมดแล้ว

            แต่เพื่อนร่วมห้องบอกว่า สาวมดเห็นเงินเก็บไว้ยังงั้น เลยจัดการเอาเงินไปฝากธนาคารไว้ เพราะกลัวหาย  เธอเลยไปขอบคุณสาวมดยกใหญ่

            บางที คนที่ชอบยุ่ง วุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ
            ถ้ามองโลกในแง่ดี ที่เค้ามายุ่ง วุ่นวายกับเรา เพราะเค้าห่วงใยเรา..

น้องก้อย - ข้อมูล
+ + + +
ยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน, ถูกงัดประตูหอพัก

ความตั้งใจ อยากทำกิจกรรมคืนสู่สังคมของนักธุรกิจจากกาฬสินธุ์



            เมื่อคนเราทำงานจนถือว่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินทองเหลือใช้มากมาย แล้วในช่วงเวลาหนึ่ง หวลคิดถึงคนที่ด้อยโอกาส อยากที่จะแบ่งปันโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านั้นบ้าง เช่นเดียวกับเพื่อนของนายบอนที่ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งใน กทม.

            เพราะในสมัยเรียนหนังสือ เพื่อนคนนี้ พบกับความยากลำบาก ความขาดแคลนโอกาสหลายอย่าง จึงต้องต่อสู้ดิ้นรน ค้นหาหนทางชีวิตของตนเองจนสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานดังที่หวังไว้ จึงเกิดความตั้งใจว่า อยากจะแบ่งปันโอกาสให้กับคนทางบ้าน ที่ขาดแคลนหลายสิ่ง เหมือนที่เขาเคยขาดโอกาสเหล่านั้นในสมัยเรียนบ้าง

            ถ้าชีวิตไม่เคยผ่านความทุกข์ยาก ความขาดแคลนมาก่อน ย่อมไม่มีแรงผลักดันที่อยากจะทำกิจกรรมคืนสู่สังคมให้กับคนที่ขาดแคลนในชนบทบ้าง.. ถ้าไม่เจอกับตัวเองมาก่อน ย่อมไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้

            เพื่อนมาปรึกษาว่า อยากทำกิจกรรมแบบนี้ แต่ตัวเขาเอง ไม่มีเวลามากนัก เพราะงานที่บริษัท ยุ่งตลอดทั้งวัน และยังต้องเดินทางออกต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเงินทุน เพื่อทำกิจกรรมตามความฝันนี้

            ลองถามไถ่ว่า อยากทำอะไร เขาก็คิดออกมากว้างๆ ไปเลี้ยงข้าวเด็กๆดีมั้ย หรือ ซื้อหนังสือไปมอบให้โรงเรียน เพื่อนอีกคนก็เสนอว่า ให้เงินไปเลย ให้แล้ว เค้าจะเอาไปใช้อะไรก็แล้วแต่เค้า ...เพื่อนอีกคนทกท้วงว่า ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวเอาไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่จะให้ แล้วเพื่อนอีกหลายๆคน ก็มีไอเดียอื่นๆอีก

            เรื่องการทำกิจกรรมดีๆเพื่อสังคม ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากทำ เพราะถือว่า เป็นการทำบุญไปในตัว เพื่อนหลายคน มีเงินพร้อมสนับสนุน แต่ไม่มีเวลา  ตั้งใจจะไปชวนเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน มาร่วมกันทำ คนโน้นก็เสนอไอเดียอย่างนี้ อีกคนก็มีเงื่อนไขแบบนั้น เลยไม่ได้ลงมือทำสักที

            ความตั้งใจดีๆแบบนี้ ได้ยินเพื่อนหลายคน พูดให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำสักที เลยมาปรึกษาว่า "ช่วยคิดให้ทีว่าจะทำแบบไหนดี "

            ถ้าเอาเรื่องนี้ไปถามคนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม จะมีกิจกรรมมากมายที่น่าทำ แต่เพื่อนที่ทำงานบริษัทกลับคิดไม่ออก เพราะไม่มีเวลาคิดจริงๆ

            มีความตั้งใจที่ดี ทำได้แน่ๆ แต่จะได้ทำหรือเปล่า นี่สิ คือ สิ่งสำคัญ เรื่องเวลาที่มีจำกัด คงไม่ใช่ปัญหาสำคัญ อยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า การทำกิจกรรมเพื่อสังคมเริ่มต้นจากเล็กๆ แล้วค่อยๆขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น

            แนะนำให้เพื่อนต้นคิด ลองไปหาพรรคพวกที่เห็นด้วย และอยากทำงานนี้ด้วยกันมา ได้เท่าไหร่ก็วางแผนแบ่งงานลงมือทำเท่าที่กำลังจะทำได้ เริ่มจากคนไม่กี่คน คนที่รู้ใจกัน คนที่มองในแง่ลบ หรือมองถึงความคุ้มค่า ก็ไม่ควรจะชวนเข้ามาร่วมงานนี้กัน เพราะกิจกรรมเพื่อสังคม ไม่ใช่การทำงานเพื่อหาเงิน หรือหากำไร แต่เป็นการให้ ผลตอบแทนที่ได้ คือ ความสุขใจของผู้ให้ และผู้รับ เมื่อได้เพื่อนร่วมทีมที่รู้ใจแล้ว ก็มานั่งวางแผน และเตรียมงานกันเลย

        1.จะทำกิจกรรมที่ไหน (สถานที่ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด)
        2.จะทำอะไร
        3.กลุ่มเป้าหมายคือใคร
        4.ทำเมื่อไหร่

            เลยเสนอไปว่า ทำที่บ้านเกิดของคุณน่ะแหละ แม้ตอนนี้ คุณทำงานที่บริษัทในกทม. ไม่มีเวลามากนัก แต่คุณย่อมรู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของคุณดี รู้ว่า จะทำอะไร มีใครที่บ้านเกิดบ้าง พวกเค้าขาดแคลนอะไร จะไปมอบอะไรให้ หรือทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง

            เมื่อไปทำกิจกรรมที่บ้านเกิด  แน่นอน มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ที่พร้อมจะช่วยเหลืออยู่แล้ว ทั้งการติดต่อประสานงานต่างๆ เป็นกองหนุน และแรงงานที่ช่วยสนับสนุนเป็นอย่างดี

            กิจกรรมที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นการไปมอบหนังสือให้โรงเรียน มอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การศึกษา อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า ทำบุญที่บ้าน เลี้ยงอาหารเด็กๆ ฯลฯ ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น  หลังจากที่พูดคุยปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมแล้ว แล้วโทรปรึกษากับพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนๆทางบ้าน ก็จะได้ไอเดียที่เอามาทำกิจกรรมได้ แล้วจะมีคนคอยช่วยเหลือ ผลักดัน จนทำให้กิจกรรมเพื่อสังคม เป็นจริงขึ้นมาได้

               ในหลายพื้นที่ของเมืองไทย ยังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะ ขอให้ความตั้งใจดีๆนั้น สำเร็จดังที่หวังไว้....


+++
กิจกรรมเพื่อสังคม

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

กำไรชีวิตจากการคิดบวก บนความขัดแย้งกับนักศึกษาปริญญาเอก




            หนุ่มร้านถ่ายรูปมาเรื่องมาปรึกษากับคุณวิรัตน์ ขอนแก่น เพราะเขามีเรื่องขัดแย้งกับนักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งนักศึกษาปริญญาเอก มักจะส่งเมล์มาด่าว่า ประจาน เยาะเย้ย เสียดสี  ถากถางเขามาตลอด 1 ปี เขาเคยเมล์ไปชี้แจง ขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่นักศึกษาปริญญาเอกยังคอยตามด่าว่า ประนามต่อไป หนุ่มร้านถ่ายรูปรู้สึกแย่ เลยมาปรึกษากับคุณวิรัตน์ เพราะไม่อยากจะมีเรื่องกับคนที่มีความรู้สูงขนาดนั้น เขาควรจะทำยังไงดี


+ + + +

            "ในเมื่อขอโทษ ชี้แจงไปแล้ว แก้ปัญหาในมุมของเราแล้ว แต่ทางนั้นยังไม่พอใจ ยังคงตามด่า ประณาม เยาะเย้ย เสียดสี แล้วจะไปทำอะไรได้ ก็ทำงานที่ต้องรับผิดชอบในแต่ละวันไปดีกว่า เพราะความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน"
          
            "หันมามองโลกในแง่บวก ถือว่า ชีวิตเป็นเพียงบททดสอบอย่างหนึ่ง เขาได้สละเวลาส่วนหนึ่งที่ควรจะใช้ในการศึกษาหาความรู้มาสนใจเรา  ถือว่า เราโชคดีที่เขามาฝึกความอดทนอดกลั้นให้เราได้รู้จักที่จะมีสติ อย่าให้อารมณ์มาครอบงำ  ถ้าหากเราอารมณ์เสีย อะไรๆก็ดูจะเลวร้ายไปทุกอย่าง ต่างจากตอนที่อารมณ์ดี โลกจะดูสดใสทุกอย่าง ไม่ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ "

            "แล้วที่เค้าด่าว่าเรามาล่ะครับ ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นเสียที"

            "เก็บไว้อย่างนั้นแหละ อ่านไป เราจะได้รู้มุมมอง วิธีคิดของเขา ถ้าเราอดทน ครองสติได้ และเอาเวลาที่คิดจะไปตอบโต้ ไปทำงานอย่างอื่นที่สร้างสรรค์จะดีกว่า  เห็นนายไปอบรมเป็นครูบัญชีเกษตรอาสา ก็เอาเวลาว่างไปช่วยแนะนำชาวบ้านทำบัญชีค่าใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ทำไปเรื่อยๆ แล้วลองมาดูกันว่า แบบไหนจะเกิดประโยชน์มากกว่ากัน แล้วอีก 1 ปี มาดูกันว่าจะเกิดผลยังไงมั่ง"

            ผ่านไปเพียง 6 เดือน หนุ่มร้านถ่ายรูปมาปรึกษาคุณวิรัตน์อีก เพราะเขาเมล์ตอบโต้ นักศึกษาปริญญาเอกไป 1 เมล์ แต่ทางนั้น ยังคงด่าว่า ประนาม เสียดสีต่อไป ด้วยประเด็นใหม่ๆ ที่คงจะไปสอบถามจากคนที่รู้จักหนุ่มร้านถ่ายรูป

            "เขาคงจะเกลียดชังเราจนเข้ากระดูกดำ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปเกลียดตอบ การหมกมุ่นอยู่กับความเกลียดชัง  ความอยากแก้แค้น เราจะต้องใช้พลังงาน ความคิด เวลาอยู่กับเรื่องนี้ เวลา 1 ปี 6 เดือน  ถ้าใช้พลังงาน ความคิด เวลา เอาไปทำสิ่งดีๆ จะมีประโยชน์มากกว่าอยู่กับความเคียดแค้นส่วนตัว การใช้เวลาที่ควรหาความรู้พัฒนาตนเองมาทำเช่นนี้ ผลที่ได้ก็คงได้แค่การตอบสนองความพึงพอใจส่วนตัว แต่เมื่อหันไปทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ อย่างการไปเป็นครูบัญชีเกษตรอาสา ได้รู้จัก พูดคุย ช่วยเหลือคนอื่น ได้ความรัก ความไว้ใจ ชื่นชม ถึงแม้ว่า สิ่งที่เราทำลงไป จะไม่ได้ใบปริญญา แต่กลับสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ "

            เวลาผ่านไปครบ 2 ปี คุณวิรัตน์พบกับหนุ่มร้านถ่ายรูปอีกครั้ง เมื่อถามถึงเรื่องเดิมที่เคยมาปรึกษา เขาบอกว่า นักศึกษาปริญญาเอกคนนั้นยังคงเมล์มาด่าว่า ข่มขู่ เสียดสีเช่นเดิม ด้วยประเด็นหลากหลาย ส่วนหนุ่มร้านถ่ายรูปก็จดข้อความ+วันเวลาที่ได้รับไว้ลงสมุดบันทึก ก็จดกิจกรรมที่เขาได้ทำในช่วงเวลานั้น

            ช่วง 1 ปีที่ผ่านไป นักศึกษาปริญญาเอกส่งเมล์มาด่าว่าเขา ถึง 15 ฉบับ กับประเด็นหลากหลาย ส่วนกิจกรรมที่หนุ่มร้านถ่ายรูปได้ทำ เช่น ช่วยให้ความรู้เรื่องการทำบัญชีครัวเรือนแก่ชาวบ้าน 7 คน  ได้มีเพื่อนใหม่ 11 คน  ได้เข้าร่วมกิจกรรมงานบุญของชาวบ้าน 5 ครั้ง อ่านหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดประชาชนจบ 28 เล่ม

            "รู้สึกโชคดี ที่ได้เจอสิ่งที่ดีๆในชีวิตจากการคิดในแง่บวก โชคดีที่ได้ข้อคิดเตือนสติจากพี่ในวันนั้น จนทำให้ช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ดีๆ  ได้พบสิ่งที่ดีๆ แม้นักศึกษาปริญญาเอกยังคงผูกใจเจ็บเช่นเดิม แต่เมื่อเปลี่ยนมาคิดบวกแล้ว ถือว่าเค้าเป็นคนที่ผลักดันให้เราได้พบสิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิตหลายอย่าง"

            คนที่มีความขัดแย้งกับเรา เราจะมองว่าเขาเป็นศัตรู หรือเป็นคนที่ผลักดันชีวิตเราให้พบกับสิ่งที่ดีๆ ก็อยู่ที่ความคิดของเราเองด้วย

            ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร แค่เปลี่ยนมุมมองความคิดไปในด้านบวก ชีวิตเดิมๆ ก็พบกับความสุข และสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตได้ ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ...


คุณวิรัตน์ ขอนแก่น - ข้อมูล
+ + +
ข้อคิด, ปรัญชาชีวิต, คิดแง่บวก


วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ความรักกับสำนึกในหัวใจจากสุสานฝังศพ



หลายคนมักจะรอจังหวะเวลา ที่จะทำอะไรที่ดีๆในชีวิต

+ +  

เช่นเดียวกับหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่พึ่งเรียนจบปริญญาตรีมาได้ไม่นานนัก กำลังเริ่มต้นทำงาน เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว หนุ่มน้อยกำลังคบหากับเพื่อนสาวคนหนึ่ง เขารักเธอ แต่ยังไม่เคยบอกความรู้สึกในใจให้เธอรู้ เพราะตั้งใจจะทำเซอร์ไพร์ส เมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสม คือ วันที่เขาพร้อม...

...พร้อมทั้งเงินทอง  ฐานะ และแหวนหมั้น  วันนั้นแหละเขาจะบอกรักเธอ และขอเธอแต่งงานทันที

ผ่านไป 6 เดือน หนุ่มน้อยไม่ค่อยได้พบกับเธอบ่อยนัก เธอก็ห่างเหินไป หนุ่มน้อยคิดว่า ดีซะอีก จะได้เซอร์ไพร์ส

คุณพ่อ คุณแม่ของเขา มักจะถามเขาเสมอว่า จะแต่งงานเมื่อไหร่ เพราะไปร่วมงานแต่งของลูกชายเพื่อนๆหลายครั้ง แต่ลูกชายของตัวเองยังไม่มีวี่แววซักที หนุ่มน้อยเลยบอกถึงความตั้งใจและเซอร์ไพร์สที่เตรียมไว้

วันหนึ่ง  คุณพ่อ คุณแม่ พาหนุ่มน้อยไปสรงน้ำ เคารพศพของคุณปู่ ณ ที่เก็บกระดูกที่สุสานฝังศพในวัดแห่งหนึ่ง คุณพ่อบอกว่า  ก่อนที่คุณปู่จะหมดลมหายใจ ท่านนึกขึ้นมาได้ว่า  ท่านอยากจะบอกว่า ท่านรักทุกคนในครอบครัวมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีโอกาสได้บอกกับทุกคน


"เราไม่ควรรอคอยเวลาที่จะทำอะไรดีๆในชีวิต เวลาในปัจจุบันเท่านั้น ที่เราควรทำให้ใครรู้ว่า เรารักและห่วงใยเขาเพียงใด รีบไปบอกก่อนที่จะสายเกินไป"


ผ่านไปอีก 1 วัน หนุ่มน้อยจึงตัดสินใจไปหาเพื่อนสาวที่เขาหมายปอง เพื่อบอกรักเธอ

.. เธอร้องไห้
... เธอยอมรับว่า เธอก็รักเขาเช่นกัน
..... แต่เห็นท่าทางของเขาดูเฉยเมย  จนคิดว่า  เขาคงคิดกับเธอเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา  เธอเจอรุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาสนิทสนม เทคแคร์ ดูแล เอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี  ในที่สุด เธอจึงตัดสินใจคบหากับรุ่นพี่คนนั้นแบบคนรู้ใจ  และจะแต่งงานกับเค้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า....


หลายคนมักจะรอคอยจังหวะเวลา โอกาสที่ดีๆ อยู่เสมอ
ไม่มีใครรู้ว่า โอกาสดีๆ จะต้องใช้เวลารอนานแค่ไหน....


....แต่ความจริงแล้ว เวลาในปัจจุบัน คือ โอกาสที่ดีที่สุด

การแบ่งแยกสีเลือกข้างโดยคนที่เรียกร้องให้เลิกแบ่งสี แบ่งฝ่าย



เมืองไทยในปี 2553  มีคำเรียกร้องให้เลิกแบ่งสี แบ่งฝ่าย  น่าจะหันหน้าเข้าหากัน มาหลอมรวมใจ สามัคคีกันจะดีกว่า

มีคุณครูโรงเรียนเทศบาลท่านหนึ่ง มักจะพูดในวงสนทนาบ่อยๆ  ว่าอยากให้คนไทยเลิกแบ่งสี แบ่งฝ่ายกันเสียที  เดี๋ยวนี้ เขาไม่กล้าใส้เสื้อเหลือง เสื้อแดงแล้วนะ


เรื่องเสื้อเหลือง เสื้อแดง  หลายคนก็เป็นห่วง แต่ดูเหมือนครูเทศบาลท่านนี้ จะเป็นห่วงมากกว่าใคร?
เวลาที่เห็นใครใส่เสื้อสีแดง สีเหลือง เดินผ่าน คุณครูท่านนี้ จะมองแล้วมองอีก มองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ มองว่า คนที่ใส่เสื้อทั้ง 2 สีนี้ เป็นคนที่หัวความรุนแรงทางการเมือง

คุณวิรัตน์ เห็นครูเทศบาลท่านนี้ จับตามองคนที่ใส่เสื้อสองสีนี้ ทั้งๆที่คนที่ใส่เสื้อสีแดง เสื้อตัวนั้น เป็นเสื้อกีฬาของโรงเรียน มีโลโก้ของโรงเรียนอยู่ตรงหน้าอก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ นปช. ส่วนคนที่ใส่เสื้อสีเหลืองคนหนึ่ง ก็เป็นเสื้อยืดที่แจกให้ของร้านขายจักรยานแห่งหนึ่ง ที่สกรีนชื่อร้านด้านหลังเสื้อยืด

กลายเป็นว่า คุณครูเทศบาลเอง ก็มีส่วนไปแบ่งแยกคนอื่น จากสีเสื้อที่คนอื่นใส่

"เค้าเดือดร้อนอะไรเนี่ย กับการที่คนอื่นจะใส่เสื้อสีแดง สีเหลือง ซึ่งไม่ได้มีโลโก้ หรือ ข้อความของ นปช. หรือพันธมิตรแต่อย่างใด แล้วมองเป็นพวกนั้นพวกนี้ไปหมด"

ปากบอกให้คนอื่น เลิกแบ่งสี แต่ตัวเองกลับแบ่งแยกให้ซะเอง

+ + + +

ที่ร้านขายหนังสือ - นสพ.- นิตยสารมีลูกค้าขาประจำแวะเวียนมาซื้อหนังสือที่ต้องการอ่าน ใครอยากได้หนังสืออะไร สั่งได้

มีแม่ค้าคนหนึ่งสั่งให้เอา นสพ. เอเอสทีวีผู้จัดการรายวันมาขายมั่ง , ธรรมะลีลา และ เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์มาวางขายด้วย เจ้าของร้านก็สั่งมาวางขายให้ หลังจากวางหนังสือที่แผงหน้าร้านได้ 2 วัน ก็เจอลูกค้าคนหนึ่ง มาโวยวาย

"เป็นเสื้อเหลืองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงได้เอา นสพ.ของพวกเสื้อเหลืองมาขายได้งัย " แล้วบอกให้เก็บออกไป ให้เอา นสพ.ความจริงวันนี้ เรดนิวส์ มาวางขายแทน


เจ้าของร้าน ก็ตามใจ เอา นสพ.ความจริงวันนี้มาวางแผง วางของสีแดง สีเหลืองก็ไม่พอใจ วางหนังสือของสีเหลือง คนเสื้อแดงก็ไม่พอใจ จะวางขายคู่กันก็ไม่ได้  เลยต้องเอาวางไว้ที่ใต้โต๊ะเก็บเงิน ถ้าลูกค้ามาถามจึงจะหยิบมาให้

เจ้าของร้านถึงกับเซ็ง จะขาย นสพ.ของสีไหน ก็ถูกมองว่า เป็นคนสีนั้น

 + + +

คุณวิรัตน์ ขอนแก่น ไปซื้อของที่ตลาด เจอเพื่อนคนหนึ่ง ยืนคุยกันผู้หญิงที่ใส่เสื้อ "7 ต.ค.รำลึก"   มีคนเห็นคุยกันอย่างสนิทสนม คนเสื้อแดงมาเห็น ก็พูดว่า เพื่อนคนนั้น เป็นพวกเสื้อเหลืองเหรอ งั้นไม่ไปซื้อของที่ร้านนั้น เลิกคบกับเพื่อนคนนั้น

ครูโรงเรียนเทศบาลคนนั้น ก็มาซื้อของที่ตลาด เห็นเพื่อนคนนั้น ก็บ่นว่า ที่แท้เป็นคนเสื้อเหลือง นึกว่าเป็นกลาง... อีกสัปดาห์ต่อมา เห็นเพื่อนคนนั้น ยืนคุยกับเจ้าของร้านขายของชำที่ใส่เสื้อแดง ความจริงวันนี้ ครูเทศบาลก็พูดอีกว่า "ไอ้นี่ ย้ายขั้วเป็นพวก นปช.ซะแล้ว  คบไม่ได้ พวกหัวรุนแรง"


"โอ๊ย จะไปยืนคุยกับคนที่ใส่เสื้อของพันธมิตร กับคนที่ใส่เสื้อของ นปช.ไม่ได้เลยรึไง ยืนคุยกันก็ไม่ได้ ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองซะหน่อย"  เพื่อนคนนั้น บ่นด้วยความอึดอัด


เวร... ไม่อยากให้คนไทยแบ่งแยกสี แต่ตัวครูเทศบาลคนนั้น กลับแบ่งแยกให้เสร็จสรรพ์



คุณวิรัตน์ ขอนแก่น - ข้อมูล

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

ฉิ่งฝังเพชร รักหมดใจแบบหญิงรักหญิงของปีใหม่ - ป๋าต๊อบ และความรักที่ต้องการคำตอบจากสื่อของเด็ก ม.ปลาย

  ข่าวคราวในแวดวงดาราไทยช่วงปีใหม่ข่าวหนึ่งที่ได้รับความสนใจ คือ ข่าวความรักของ ปีใหม่ สุมนรัตน วัฒนาเศลารัตต์ กับ ป๋าต๊อบ ปฏิญญา ควรตระกูล ซึ่งทั้งสองคนออกมาเปิดตัวในความรักของทั้งคู่ และมีการจัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย ซึ่งพ่อแม่ของทั้งคู่ ก็ให้การยอมรับ  ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานของ ผู้หญิง กับผู้หญิง แต่สังคมในตอนนี้ เปิดกว้างในเรื่องนี้มากขึ้น สื่อบันเทิงเสนอข่าวในเชิงชื่นชมยินดี หลายคนอิจฉาในความรักที่หวานซึ้ง ถึงขนาดจูบปากโชว์สื่อให้เห็นกันจะจะมาแล้ว

            ความจริงแล้ว เรื่องความรักของดารา ไม่น่าจะมาเกี่ยวอะไรกับนายบอน แต่เรื่องมันก็มาเกี่ยวจนได้สิ....




        ปีใหม่ สุมนรัตน วัฒนาเศลารัตต เป็นดาราสาวที่พรรคพวกหลายคนของนายบอนแอบปลื้ม ในความน่ารัก สดใสของเธอ เพื่อนบางคนถึงขนาดตัดเก็บรูปถ่ายของปีใหม่ในหนังสือ นิตยสารเก็บไว้อย่างดี เพื่อนบางคนบอกว่า นี่แหละ คือผู้หญิงในสเปค

            แต่พอเห็นข่าว ปีใหม่ แต่งงานกับป๋าต๊อบ บอกว่ารักป๋าต๊อบจนหมดใจ รักมากมาย เพื่อนคนที่ว่า  ถึงกับออกอาการเซ็งสุดขีด  ทำไม ผู้ชายมีตั้งเยอะ ดันไปเลือกป๋าต๊อบ ..ผู้หญิงที่มีบุคลิกเป็นผู้ชาย...

            ..เซ็งจัดถึงขนาด ขนรูป "ปีใหม่" ออกมาโยนทิ้ง
            ...แต่ก็มีเพื่อนอีกคน ตาไว รีบเก็บรูปปีใหม่เอาไว้ ....เสียดาย ที่นายบอนไปเก็บไม่ทัน


            ความรักของทั้งคู่ หวานแหวว จนสื่อมวลชนตั้งฉายาคู่รักนี้ว่า "ฉิ่งฝังเพชร" เพราะป๋าต๊อบ เป็นถึงทายาทนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่ำรวยสุดๆ
           

            เพื่อนอีกคน พยายามจีบสาวที่หมายปอง ลุ้นแล้วลุ้นอีก ไม่สำเร็จซักที แต่พอเห็นข่าว ปีใหม่ เลือกป๋าต๊อบ ถึงขนาดจะไปขอวิชาจีบสาวจากป๋าต๊อบซักกะหน่อย ทำไมถึงกุมหัวใจของปีใหม่ได้


            "ไปหาอ่านบทสัมภาษณ์ของทั้งคู่ดูสิ เค้าเปิดเผยเคล็ดลับอันนึง เพราะป๋าต๊อบเป็นผู้หญิง เลยเข้าใจผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ป๋าต๊อบ เข้าใจผู้หญิง เรียนรู้ผู้หญิง คบผู้หญิงมาหลายคน เอาใจผู้หญิงเก่ง จนชนะใจปีใหม่ได้... เป็นผู้หญิงที่จีบผู้หญิงได้เก่งนะ"

            "เรื่องนึงที่ป๋าต๊อบทำได้ดีกว่าผู้ชายทั่วไป คือ เป็นคนที่ให้ความสำคัญใส่ใจกับความรัก ทั้งเอาใจใส่ ถามไถ่ เทคแครฺ เหมือนการรดน้ำต้นไม้ความรักทุกๆวัน"


            หญิงรักหญิงในยุคนี้ สังคมเปิดกว้างมากขึ้น ทุกอย่างมีแต่ความสดชื่น สดใส หลายคนหวังให้ความรักของน้องปีใหม่และป๋าต๊อบ เป็นความรักที่ยืนยาว อย่าได้เหมือนความรักของดาราคู่อื่นๆ ที่อยู่กันไม่นาน ต้องเลิกรากันไป ขอให้รักและดูแลกันจริงจัง และตลอดไป


            ความรักของป๋าต๊อบกับน้องปีใหม่ น่าจะเป็นเรื่องที่ดี น่าชื่นชม แต่ที่กาฬสินธุ์  เกิดความรักของหญิงรักหญิง ของเด็กที่เรียนชั้นมัธยมปลาย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ความจริงผู้ใหญ่ก็อยากจะใจกว้าง เปิดโอกาสให้เด็กได้รักกัน ไม่อยากห้ามปราม แต่เด็กกำลังเรียนหนังสือ ขอเงินพ่อแม่ใช้ เด็กหญิงที่มีท่าทางเป็นผู้ชาย เอาเงินพ่อแม่ มาเลี้ยงดู เทคแคร์แฟนสาว สนใจเรียนหนังสือน้อยลง หลายครั้ง พากันโดดเรียนไปเดินห้าง ร้องเพลงคาราโอเกะกันสองคน พอพ่อแม่ ตักเตือน ก็บอกว่า เธอเจอรักแท้แล้ว เหมือนกับปีใหม่และป๋าต๊อบ


            อีกครอบครัว มีลูกสาว 2 คน คนพี่ก็มีแฟนเป็นผู้หญิง คบกันได้ระยะหนึ่ง ก็เลิกรากันไป เมื่อน้องสาวเริ่มมีความรัก ก็รักผู้หญิง พี่สาวก็สนับสนุนเต็มที่ ดูท่าทางแล้ว จะสวีทหวานแหววคล้ายๆกับ ป๋าต๊อบและน้องปีใหม่เหมือนกัน


           พ่อแม่ของครอบครัวลูกสาว 2 คนนี้ ไม่รู้จะตักเตือนลูกสาวยังไง จะคบกันได้ไม่เคยห้าม แต่ตอนนี้อยู่ในวัยเรียน ควรรู้จักหน้าที่ที่ต้องทำ มองไปถึงอนาคตบ้าง เพราะน้องสาวมีแนวโน้มที่จะออกจากบ้านไปพักอยู่ด้วยกัน แล้วก็ยกกรณี ป๋าต๊อบ น้องปีใหม่เป็นตัวอย่างว่า รักแท้ของผู้หญิง ก็มีเหมือนกันนะ

            คนเป็นพ่อแม่ กลุ้มใจ ไปปรับทุกข์ขอคำปรึกษากับหลายคน

           
            ถ้าดูข่าวความรักของปีใหม่ ป๋าต๊อบ หลายคนชื่นชม อิจฉาในความหวาน ความซึ้ง สื่อบันเทิงก็นำเสนอข่าวในแง่มุมที่สดใสนี้เท่านั้น  
            

            แต่เมื่อคืนวันอังคาร รายการเขย่าจอทางช่อง  Superบันเทิง ช่วงลงดาบคดีดารา ก็พูดถึงกรณีฉิ่งฝังเพชร ความรักของ น้องปีใหม่และป๋าต๊อบ โดย อ.สมบัติ วงศ์กำแหง ซึ่งมาให้ความรู้ด้านกฏหมาย ได้ให้ข้อมูลความรู้ที่ดีจริงๆ เพราะได้มองต่อไป เรื่องที่เกิดขึ้น มีผลทางกฏหมายอย่างไร ถ้าต้องการมีลูก ทั้งคู่จะทำยังไงได้บ้าง แล้วมีผลทางกฏหมายอย่างไรบ้าง และถ้าหากหมดความรักต่อกันแล้ว ต้องเลิกรากันไป สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน เช่น ทรัพย์สมบัติ จะต้องแบ่งกันยังไง เพื่อนคนหนึ่ง ฟังแล้วได้ความรู้ดีมากๆ จนต้องรีบโทรบอกให้พ่อแม่ที่กลุ้มใจเรื่องลูกสาว รีบเปิดดูรายการเขย่าจอตอนที่เอามารีรันในวันพุธ (คือ คลิปวิดีโอข้างล่างนี้)





            "ทำไมช่องทีวีทั่วไปถึงไม่พูดในประเด็นเหล่านี้มั่งนะ เอาแต่ขายข่าวความรักหวานแหวว โชว์แต่ภาพแต่งงาน ภาพป๋าต๊อบจูบน้องปีใหม่ คนเป็นพ่อแม่ กลุ้มใจจะแย่ ไม่รู้จะอธิบายกับลูกยังไงที่ลูกเอาดาราเป็นตัวอย่าง เพราะเห็นแต่ความรักที่หวานแหวว ไม่ได้มองถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ผลทางกฏหมายต่างๆ"

            แหม ได้คำตอบจาก รายการเขย่าจอทาง Superบันเทิง อีกแล้ว.....


            หลังจากฟังรายการเขย่าจอแล้ว พ่อแม่ของลูกสาวคนนั้น ดูเหมือนจะอธิบาย เตือนสติลูกสาวได้ดีขึ้น พูดให้ลูกสาวเข้าใจถึงอนาคต ถ้าจะเอาอย่างความรักของป๋าต๊อบ และน้องปีใหม่ ก็ต้องดูถึงความเหมาะสม  ดาราทั้งสองคน ทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายยอมรับ จนได้แต่งงานกัน ถ้าลูกสาวรักกันจริง ก็ต้องทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายยอมรับด้วย...

Clip video มะหมาตัวน้อยๆ 6 ม.ค.2553




มะหมาตัวน้อยๆลูกของ แม่พันธุ์ไส้กรอก ที่คลอดเมื่อปลายปี 2552 ตอนนี้กำลังวิ่งซุกซนไปทั่วบ้าน


            3 วันก่อน คุณพ่อของนายบอน ยกมะหมาน้อยตัวนี้ ให้เพื่อนไปเลี้ยง เพราะมะหมาที่บ้าน มีหลายตัว แต่เอาหมาน้อยตัวนี้ไปได้แค่วันเดียว  ก็ต้องเอากลับคืนมา เพราะยังไม่หย่านมเลย เลยได้เห็นมาวิ่งซุกซุนอีกครั้ง
            เลยถ่ายคลิปวิดีโอเก็บเอาไว้ วันหนึ่งก็คงได้ไปอยู่ที่บ้านหลังอื่น .....

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

รายการจอเหลือง รายการดีของ ASTV ที่กำลังจะลาจอไป !!!

            วันเวลาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งมีเวลาของมันเอง
           
            หลังจากยุติการชุมนุม 193 วัน เมื่อปลายปี 2551 พอเข้าสู่ปี 2552 พวกเราได้ดูรายการใหม่ทาง  ASTV  ทุกบ่ายวันเสาร์ -อาทิตย์ ชื่อรายการ "จอเหลือง" มีพี่ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง เป็นพิธีกรและผู้ผลิตรายการนี้ เป็นรายการวาไรตี้ที่แตกต่างจากรายการอื่นๆใน ASTV  ซึ่งมาจากดำริของคุณสนธิ ที่อยากให้มีรายการแบบนี้ เพื่อสื่อสารกับพี่น้องพันธมิตร..

+ + + +

            รายการจอเหลือง เชิญพี่น้องพันธมิตรมาออกรายการ ทำให้รู้จักกันดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนทำอาชีพอะไร ก็มีโอกาสที่จะมาออกรายการจอเหลืองได้ทั้งนั้น แม้แต่คนที่เล่นอินเทอร์เนต อย่างชาว mblog มีคุณ pijika, sazzie ก็เคยมาออกรายการนี้ รวมถึงกลุ่ม TGO ก็ได้ไปออกรายการจอเหลืองมาแล้ว

            รูปแบบการจัดรายการ ไปจัดในสตูดิโอนอก ASTV มีการสร้างฉาก จัดระบบแสง เสียง จนภาพที่เห็นในจอทีวี ดูดีมากๆ รายการดูสนุก ดีกว่ารายการในฟรีทีวีหลายหลายการ แต่รายการจอเหลืองไม่มีโฆษณาเข้ารายการมากเหมือนอย่างรายการของฟรีทีวี แต่จอเหลือง ยังจัดรายการต่อไป  ที่นายบอนชอบมากๆ คือ การเปิดเวทีให้ศิลปินพันธมิตรมาร้องเพลงของตัวเอง และเพลงอื่นๆ ได้เห็นศิลปินแต่งตัวในชุดที่แปลกตา ร้องเพลงในสไตล์อื่นๆบ้าง


            แล้วยังมีการทำอาหารโชว์ คุยกันแบบเบาๆ , มีรูปแบบเกมโชว์การเมือง แล้วยังสร้างพิธีกรหน้าใหม่ในช่วงต่างๆ ได้เห็นถึงความหลากหลาย การคิดงานออกมา การนำเสนอสิ่งใหม่ๆ และการเปิดโอกาสให้พี่น้องพันธมิตรได้มาออกรายการ ครั้งหนึ่ง  มีทีมงานของพี่ตั้ว โทรติดต่อนายบอน ให้ช่วยติดต่อ เพื่อนที่ชื่อสุวิทย์ ที่นายบอนมักเขียนบันทึกเรื่องราวของเขาในช่วงการชุมนุม 193 วันใน  mblog ให้มาออกจอเหลืองบ้าง แต่เสียดายที่เจ้าเพื่อนยาก ไม่อยากออกสื่อ

            จากความหลากหลายของคนที่มาออกรายการ มีเพื่อนหลายคนบอกว่า ดูจอเหลืองแล้ว รู้สึกว่า ASTV เป็นทีวีของประชาชนจริงๆ


        ความจริงที่ต้องยอมรับ

            .การทำงานทุกอย่าง ต้องมีการลงทุน และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ตอนที่เริ่มทำรายการจอเหลือง พี่ตั๊วบอกว่า คุณสนธิดำริอยากให้ทำรายการในรูปแบบนี้ ให้ทำไปเลย เรื่องเงินจะหามาให้ พี่ตั้วและทีมงานเลยลงมือผลิตกันเต็มที่ จนวันหนึ่งถึงรู้ว่า เกิดปัญหาการเงินจนเป็นหนี้ก้อนโต รายการจอเหลืองเลยเกิดการเปลี่ยนแปลง มีของเก่ามาฉายซ้ำให้ดูบ่อยๆ   ส่วนรายการ  The Audition  ที่คัดเลือกนักแสดงของพันธมิตรก็หายไป เอารายการจอเหลืองมาฉายซ้ำ จนเปลี่ยนเป็นรายการของพรรคการเมืองใหม่ในปัจจุบัน


            เมื่อเกิดปัญหา พี่ตั้วก็บอกกันตรงๆ จนต้องจัดคอนเสิร์ตเปิดบัญชีทรัพย์สินเมื่อ 19 ธ.ค.2552 เพื่อหาเงินปลดหนี้ก้อนโต พี่น้องพันธมิตรหลายคนช่วยซื้อบัตร ช่วยบริจาค จนได้เงินก้อนหนึ่ง มาใช้หนี้ได้ครึ่งหนึ่ง

            พี่ตั้วบอกในรายการว่า หนี้ทั้งหมดประมาณ 8 ล้านบาท ปลดหนี้ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ...ยังเหลืออีกครึ่ง





            เข้าสู่ปีใหม่  2553 ถือว่า รายการจอเหลืองมีอายุครบ 1 ปีพอดี  ถ้าเป็นรายการทีวีอื่นๆ คงป่าวประกาศฉลองครบรอบ 1 ปี แต่พี่ตั้วออกมายอมรับ พูดถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ฟังดูแล้วมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า จอเหลืองจะเลิกทำรายการแล้วหรือ

            ในคลิปวิดีโอ พี่ตั้วพูดถึงทางเลือกรูปแบบต่างๆของการจัดรายการ จะจัดแบบไหนถึงจะประหยัดค่าใช้จ่ายสุดๆ พี่ตั้วคงคิดรูปแบบ ประเมิน ข้อดีข้อเสียหลายด้านแล้ว และยังฝากให้ผู้ชมรายการช่วยกันคิดดู ว่ารายการจอเหลืองจะเป็นยังไงต่อไป

            ..เพราะความผูกพัน และการได้ต่อสู้ร่วมกันมา ไม่มีใครอยากให้รายการจอเหลืองลาจอไป หลายคนบอกว่า ต้องการเงินเท่าไหร่จะโอนไปให้ แต่พี่ตั้วยอมรับตรงๆ ไม่อยากรบกวนพี่น้องให้มากไปกว่านี้

            "บางสิ่ง อาจจะเหมาะสมกับช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น"


        ทางเลือกของรายการจอเหลืองในอนาคต

            "วันเสาร์ที่ 9 และ วันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค.2553 ยังมีรายการจอเหลืองทาง ASTV ในเวลาเดิม (13.00-14.30 น.) แต่หลังจากนั้นค่อยดูกันอีกที อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้"

            ที่ผ่านมา ช่วงปลายปี 2552 รายการจอเหลืองเอาเทปเก่าๆมาฉายซ้ำ หลายคนไม่ได้ติดตามจอเหลืองเหมือนเดิม หลายคนกดไปดูช่องอื่น หลายคนใช้เวลาช่วงนั้นไปทำงาน เรียนหนังสือ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เกิดอะไรขึ้นกับจอเหลือง เหมือนการแจ้งข่าวจะจัดคอนเสิร์ตเปิดบัญชีทรัพย์สิน กว่าจะรู้กันทั่ว ก็ต้องประชาสัมพันธ์หลายๆช่องทาง

            พี่ตั้ว ยอมรับกันตรงๆว่า รู้สึกไม่ค่อยดีที่เอาแต่เปิดเทปเก่าๆซ้ำไปซ้ำมา ทั้งๆที่เวลาออกอากาศของ ASTV น่าจะมีอะไรใหม่ๆที่มีคุณค่ามากกว่า เอาของเก่ามาเปิด ถ้าจะจัดรายการในรูปแบบปัจจุบัน (ที่เห็นในคลิปวิดีโอ) คือ นั่งพูดไปสักพักใหญ่ แล้วตัดภาพไปดูเทปเก่าๆ ถึงแม้พี่ตั้วจะรู้สึกดีที่มีพื้นที่สื่อสารกับพี่น้องพันธมิตรที่ยังคงติดตามดูอย่างเหนี่ยวแน่น แต่คนดูน่าจะได้ดูรายการที่ดีกว่าที่เห็นอยู่

            เป็นใครก็คงกดดันตัวเอง เมื่อเริ่มต้นทำรายการ ทำออกมาได้น่าดูมากๆ สร้างสรรค์แบบสุดๆ แต่พอครบ 1 ปี รูปแบบกลับออกมาด้อยกว่าตอนที่เริ่มจัดรายการช่วงแรกๆ หลายเท่าตัว

            แต่พี่ตั้วก็บอกความจริงทุกอย่าง เล่าให้ฟังถึงที่มา เบื้องหลังรายการ พยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ อยากให้มีรายการต่อไป แต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น คือ อุปสรรคสำคัญ ถ้าฝืนจัดรายการต่อไป แต่หนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วมาประกาศจัดคอนเสิร์ตหาเงินใช้หนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกแย่.....

            เลิกจัดรายการจอเหลืองเถอะครับ ถ้าไปไม่ไหวจริงๆ


            แต่พี่ตั้ว และทีมงาน มีความสามารถมากมาย เช่นในการชุมนุม 193 วัน พี่ตั้วยังสามารถสมวิญญาณศิลปินนักร้อง นักแต่งเพลง แต่งเพลงออกมาได้มากมาย ร้องเพลงได้ทุกวัน แล้วพี่ตั้วยังมีความสามารถอีกเยอะ ขนาดอยู่ในสถานที่ เวทีการชุมนุมที่มีข้อจำกัด อุปสรรคหลายอย่างในช่วง 193 วัน พี่ตั้วยังคิดงาน คิดเพลงออกมาได้ ช่วยให้การชุมนุมยืนหยัดอยู่ได้หลายเดือน

            ถ้าจะจัดรายการใน ASTV แบบที่ ASTV เค้าจัด ในแบบที่สามารถจัดรายการต่อไปได้ ให้มีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับ ASTV หรือ การจัดรายการในแบบ เศรษฐกิจพอเพียง
            จะทำยังไงได้มั่ง

            1) เปลี่ยนรูปแบบรายการ เปลี่ยนชื่อใหม่ ไปจัดในห้องส่ง ASTV ทำการคิดรูปแบบ กำหนดขอบเขตเนื้อหารายการให้เล็กลง แต่นำเสนอเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอให้เข้มข้นขึ้น ถึงจะต้องจัดสดในห้องส่งของ ASTV พี่ตั้วก็สามารถคิดงานออมาได้ เช่น
            - สัมภาษณ์แขกรับเชิญในสไตล์ของพี่ตั้ว มีสกู๊ป วีทีอาร์ประกอบรายการที่ตัดต่อเนื้อหาในสไตล์จอเหลือง
            - เวทีดนตรี ในแบบที่เคยจัดสดๆในห้องส่ง เล่นดนตรีสดๆ แล้วสัมภาษณ์พูดคุยระหว่างเพลง หรือ คิดรูปแบบ สอดแทรกเนื้อหาที่น่าสนใจ
            - มีหลายช่วงในรายการจอเหลือง สามารถนำมาผลิตเป็นรายการใหม่ รายการเล็กๆ แต่เน้นเนื้อหาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น อาจจะจัดเป็นรายการสั้นๆ 5 นาที 10 นาที หรือ 30 นาที ก้ได้ ยิ่งจะควบคุมงบประมาณได้ และสามารถผลิตรายการได้มากขึ้น เนื้อหาสาระเข้มข้นยิ่งขึ้น

            2) ร่วมผลิตรายการกับทีมงาน ASTV พี่ตั้วสามารถคิดรูปแบบรายการให้แตกต่าง น่าสนใจกว่ารายการที่มีอยู่ใน ASTV ได้แน่ๆ และเปิดพื้นที่ให้ศิลปินพันธมิตร พี่น้องพันธมิตรได้มาออกรายการได้มากขึ้น

            3) ร่วมทีมผลิตรายการกับ ม.รังสิต พี่ตั้วจะได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ ให้ทีมงาน ม.รังสิตด้วย สร้างคน และได้สร้างรายการดีๆให้ ASTV ได้เช่นกัน

            4) ศึกษา รูปแบบการผลิตรายการของช่อง FM TV ของสันติอโศก น่าจะนำมาปรับใช้ในการผลิตรายการตามที่พี่ตั้วอยากจะผลิตออกมาได้มากมายเหมือนกัน

            การได้เริ่มทำรายการใหม่ๆ เป็นความท้าทาย เป็นสีสันที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมอีกด้วย ถ้าจัดรายการใหม่ แก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเกินตัวได้ ทุกฝ่ายก็มีความสุขครับ พี่ตั้วยังได้จัดรายการอยู่ ได้พูดคุย บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ สร้างทีมงานใหม่ๆต่อไป

            ถ้าจัดรายการใหญ่ๆไม่ไหว ก็จัดรายการเล็กๆ แต่เข้มข้นดีกว่าครับ ต่อไป เมื่อทุกอย่างพร้อมกว่านี้ สามาาถจัดรายการจนเกิดผลกำไร แล้วจะกลับมาทำรายการในรูปแบบที่อยากทำอีกครั้งก็ยังได้นะครับ

            เพราะ
            วันเวลาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
            ทุกสิ่งมีเวลาของมันเสมอ.
..

++++
รายการจอเหลือง, ศรัณยู วงศ์กระจ่าง, ASTV

กาลเวลา ชีวิต ความเป็นไป ในช่วงเปลี่ยน พ.ศ.ใหม่



        ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของหลายคน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ได้ไปท่องเที่ยว ได้กลับบ้านมาเจอญาติพี่น้อง ได้สังสรรเฮฮาสนุกสนาน แต่ช่วงเวลานี้ของนายบอน เป็นช่วงเวลาที่ได้แง่คิดหลายอย่าง ภายในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า "กาฬสินธุ์"



        ตลอดทั้งปี 2552 นายบอนเดินทางไปที่ต่างๆบ่อยครั้ง พอถึงช่วงปีใหม่ กลับไม่ได้ไปที่ไหนเลย อยู่ที่บ้านอย่างเดียว จนมีคนประหลาดใจ ที่อยู่บ้านก็เป็นด้วย วันส่งท้ายปีเก่า ก็ดำเนินชีวิตเหมือนวันปกติทั่วไป กินข้าวที่บ้านกับพ่อ แม่ ไม่มีโปรแกรมไปสังสรรเคาน์ดาวน์ที่ไหน แต่พอ 3 ทุ่ม เพื่อนก็โทรมาชวนไปสังสรรปีใหม่ เพราะมีเพื่อนกลับมาจาก กทม. จะชวนไปเที่ยวตะวันแดงกาฬสินธุ์ นายบอนไม่อยากไปตะวันแดง แต่เพื่อนอีกคนชวนไปสังสรรค์ที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซต์ของเพื่อนคนหนึ่ง เลยตัดสินใจออกไปที่ร้านนี้เพราะคุ้นเคยกับเพื่อนคนนี้ดี


            พอไปถึง เพื่อนเจ้าของร้านก็ตั้งวงสังสรรค์ วงเล็กๆ ตั้งเตาถ่าน ย่างเนื้อกิน มีจานส้มตำ เบียร์ลีโอ นั่งกินกับลูกจ้างของร้าน ส่วนเพื่อนเจ้าของร้านนั่งกิน "สไปร์ท" นั่งกินไป เดี๋ยวก็มีคนที่ขับมอเตอร์ไซต์ผ่านแถวนั้น แวะซื้อน้ำมันเครื่อง เพื่อนเจ้าของร้านเลยได้ขายของ รับทรัพย์ไปด้วย ...ฉลองไปด้วย เปิดร้านไปด้วย ขายของรับเงินไปด้วย เพื่อนเจ้าของร้าน สั่งเบียร์ลีโอมาเลี้ยงนายบอน 1 ขวด นั่งกินริมฟุตบาทหน้าร้านแบบกันเอง..

        ราว 23.30 น. เพื่อนที่โทรไปตามนายบอนออกมา ก็ชวนไปกินที่ร้านอุดมโภชนา มีเพื่อนอีก 2 คนรออยู่ที่นั่น เพื่อนคนหนึ่ง เมียเค้าอยู่ที่โรงพยาบาล กำลังจะคลอดลูกชายคนแรก ก็เลยตามเพื่อนไปสังสรร เพื่อนที่รออยู่เลยเลี้ยงเหล้าซะเลย คุยกันไป ดูทีวี countdown ปีใหม่ ชนแก้วไชโยกันตอนเปลี่ยน พ.ศ. กินเหล้าจนเมา ร่ำลากันตอน ตี 1.30 น. เพราะเมียของเพื่อนใกล้จะคลอดแล้ว เพื่อนที่เหลือเลยแยกย้ายกลับบ้าน นายบอนพอกลับถึงบ้าน ก็อาเจียนออกมา เพราะกินเบียร์ แล้วไปกินเหล้า ของมันตีกัน กระเพาะคงรับไม่ไหว จนต้องอ๊วกออกมา ถึงนอนได้


        ช่วงเปลี่ยน พ.ศ. ก็มีเพื่อนๆส่ง sms  มาอวยพรปีใหม่ทางมือถือตั้งหลายข้อความ ชาว mblog  ที่ส่ง sms  มาอวยพรนายบอน ก็คุณ hataraki, leelawadee2u, คุณเล็ก-เพื่อนรักของ sazzie  





        เช้าวันที่ 1 มกรา ตื่นขึ้นมายังมึนๆ ค้างๆ แต่ก็ออกไปตักบาตรที่หน้าศาลากลางกับแม่ รับวันใหม่ ปีใหม่ ตักบาตรรับน้ำมนต์จากพระสงฆ์ที่มาทำพิธีประพรมน้ำมนต์เป็นสิริมงคลรับปีใหม่ มีพระสงฆ์มารับบิณฑบาตรดูน้อยกว่าปีก่อน กลับบ้านก็ยังซึมๆกับเหล้าเมื่อคืน ตอนเที่ยงก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับคุณลุงคุณป้า  ช่วงเย็น ก็ไปทานข้าวบ้านคุณป้า มีตั้งวงเนื้อกะทะ ทำสลัด ข้าวผัดกันเองในหมู่ญาติพี่น้อง ก็อบอุ่นเหมือนทุกๆปี ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่ผู้ใหญ่มีความสุข เพราะได้เจอกัน ได้คุยกับคนวัยเดียวกัน ยกเครื่องคอมพิวเตอร์มาร้องคาราโอเกะกัน คุณพ่อ คุณแม่ ของนายบอนก็ร้องเพลงกะเค้าด้วย ระหว่างกินเนื้อกะทะกัน ก็จะมีญาติๆของคุณป้า ถือกระเช้าของขวัญมาสวัสดีปีใหม่ มีครอบครัวหนึ่ง พากันมากลุ่มใหญ่ มีทั้งรุ่นปู่-ย่า รุ่นลูก และรุ่นหลานตัวเล็กๆ มากันร่วม 10 คน จนแม่ของนายบอนมองด้วยความอิจฉา ในความอบอุ่น ที่เห็นครอบครัวเค้าลูกหลานน่ารัก เห็นแล้ว นายบอนก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน

        ผู้ใหญ่มักจะพูดว่า ถ้าบ้านไหนมีเด็กเล็ก บ้านนั้นจะมีชีวิตชีวา ไม่เงียบเหงา ผู้ใหญ่ ก็จะมีความสุข ได้ดูแลเล่นกับหลานๆ
        จึงเป็นปีใหม่ที่นายบอน ถอนหายใจอีกปี
       

        ตอนสายๆวันที่ 2 มค ก็แวะไปเยียมเพื่อนคนที่พึ่งได้ลูกชายคนใหม่ ซึ่งคลอดตอน 1.45 น.ของวันที่ 1 ม.ค.2553 เป็นเด็กที่คลอดคนแรกของโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ แวะไปพูดคุยถามไถ่ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็ไม่ค่อยได้นอนทั้งคืน คอยดูแลลูกชายตัวน้อย คลอดออกมาน้ำหนัก 3,010 กรัม นายบอนไปนั่งมองลูกชายตัวนน้อย จนเพื่อนถามว่า "อยากได้ลูกมั่งล่ะสิ มองตาแป๋วเชียว เนี่ย เดี๋ยวเราจะปรึกษาเพื่อนที่เป็นหมอ วางแผนที่จะมีลูกคนที่สองซะเลย"
        นายบอนก็ได้แต่ยิ้มๆ



        ปีใหม่ที่มีวันหยุด 4 วัน ก็ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น เห็นรถเยอะ เลยเบื่อที่จะไปไหน ดูทีวี ข่าวท้องถิ่น มีข่าวอุบัติเหตุหลายที่ ใกล้บ้านก็มี เลยได้แต่ปลงๆ ไว้หลังปีใหม่ค่อยเที่ยวละกัน

        ปีใหม่แบบเหงาๆ ซื้อของขวัญให้ตัวเอง แวะร้านหนังสือ หาซื้อหนังสือที่อยากอ่านมา 1 เล่ม ก็เท่านั้นเอง แล้วก็นั่งดูทีวีเพลินๆในวันหยุดก็เท่านั้น.......

        ไว้หลังปีใหม่ ค่อยออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่อยากไปอีกที....
              
++++
ชีวิต, ความเปลี่ยนแปลง

เจ๊ กาเหว่า อมร แต้อุดมกุล@superบันเทิง ขวัญใจของคนดูหนุ่มๆที่กาฬสินธุ์




            คนที่ติดตามดูช่อง superบันเทิง หลายคนชอบพิธีกร ผู้ประกาศหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ตุลย์, โบ, พริก, พี่ต่อ, นุ๊ก, ป้าเดย์, อาร์ม, เจ๊ไทม์, เต้ย...
            แต่ไม่น่าเชื่อว่า ที่นายบอนได้ฟังพรรคพวกคุยกัน มีคนชื่นชอบ เจ๊กาเหว่า อมร แต้อุดมกุล มากกว่าหลายคนที่กล่าวชื่อมา

            "ชอบที่เป็นผู้หญิงเก่ง ดูเป็นคนที่มีความสามารถสูง ถึงจะถูกคนอื่นๆในช่องแซวว่า แก่... แต่ก็แก่ประสบการณ์นะ"


            พรรคพวกบอกว่า ดูเจ๊กาเหว่าจัดรายการตอนเช้ากับนายตุลย์ ทุกวันพฤหัส-ศุกร์ ยังไม่ชอบเท่าไหร่ แต่พอเห็นเจ๊กาเหว่า มาสัมภาษณ์บุ๋ม ปนัดดา ในรายการ "เปิดหมดเปลือก" เลยสนใจมากขึ้น แถมรายการนี้ยังมีรีรันอีก 4 รอบ เลยตามมาดูได้ เห็นสไตล์การพูด สัมภาษณ์ ยิงคำถามของเจ๊กาเหว่าแล้ว โห บางคำถาม กล้าถามว่ะ สุดยอด

            ในเทปรายการเปิดหมดเลือก (พิเศษ) ตอนปีใหม่ ตุลย์ เจ๊ไทม์ และจีน มานั่งพูดถึงเบื้องหน้า เบื้องหลังของรายการ  มีช่วงที่พูดถึงเจ๊กาเหว่า แล้วก็ตัดภาพให้เจ๊กาเหว่าโผล่มาพูด  เท่านั้นแหละ พรรคพวกบอกให้ดูรีรันทันที ดูเจ๊กาเหว่าในห้องทำงาน ดูเท่มากๆ



            เลยต้องตามดูรีรันตามที่พรรคพวกบอกให้ดู (อย่างที่เห็นในคลิปวิดีโอ) ดูอีกมุม เจ๊กาเหว่า ก็ดูแก่ แต่ดูอีกมุม เออ..ดูเท่ สวยอีกแบบเหมือนกัน ตอนสัมภาษณ์ ใส่ชุดที่สไตล์ลิสจัดมาให้ ดูเริดหรูไม่เบา

            นึกๆดูแล้ว ก็สงสัยเหมือนกัน ทำไมพรรคพวกในกาฬสินธุ์ ถึงหันมาปลื้มเจ๊กาเหว่ามากกว่า สาวหน้าใสๆอย่าง พริก, จุ๊, นุ๊ก, เจ้ไทม์....

        - แสดงว่า หนุ่มๆชอบผู้หญิงเก่ง
        - ตอนสัมภาษณ์บุ๋ม ปนัดดา เจ๊กาเหว่าถามได้มันสุดๆ
            แหม ไม่เก่งได้ยังไง ระดับ บก. บรรณาธิการของช่อง superบันเทิง เชียวนะเนี่ย

        ขอคารวะ เจ๊กาเหว่า...

+++++++
superบันเทิง, อมร แต้อุดมกุล,  ASTV

รอยยิ้มกับมิตรภาพของคนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลืองที่ขอนแก่น

สถานการณ์การเมืองในเวลานี้ การความขัดแย้งระหว่างคนสีต่างๆ ทั้งสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน ดูเหมือนรอเวลาที่จะระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง ในความรู้สึกของคนทั่วไปนั้น คนเสื้อแดง ไม่เห็นข้อดีของคนเสื้อเหลืองในสายตาเลย และคนเสื้อเหลืองก็ไม่เคยเห็นด้านดีๆของคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย  ดูท่าแล้ว ประเทศไทยคงต้องถูกแบ่งพื้นที่ประเทศแน่ๆ


       แต่ในความเป็นจริง ใช่ว่า จะเป็นอย่างความรู้สึกนึกคิดของคนที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์คิดเช่นนั้นเสมอไป

       เมื่อเดือน พ.ย. 2552 เกิดอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซต์ถูกระกระบะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงมาบนถนนมิตรภาพ เฉี่ยวจนรถมอเตอร์ไซต์ต้องหลบลงข้าวทาง คนขับมอเตอร์ไซต์แขน ขาถลอก พกช้ำไม่มากนัก  คนที่ขับมอเตอร์ไซต์ตามมา ได้เข้าช่วยเหลือ พาคนที่ถูกรถเฉี่ยวไปทำแผลที่คลินิคแห่งหนึ่ง  จึงได้สอบถามชื่อ ทำความรู้จักกัน คนที่ถูกรถเฉี่ยว ชื่อ "ต้อม"   ส่วนคนที่มาช่วยเหลือ ชื่อ "แดน"


        อีก 3 วันต่อมา ระหว่างที่ต้อมกำลังเดินซื้อของที่ตลาด เห็นคุณยายคนหนึ่งกำลังขี่รถจักรยานซ้อนท้ายหลานสาวสะพายกระเป๋าในเล็ก ช่วงนั้นเป็นเวลาเลิกเรียน คุณยายคงไปรับหลานตอนเลิกเรียน ระหว่างที่ขี่จักรยานผ่าน 3 แยกมาได้ไม่กี่เมตร รถจักรยานดูเหมือนจะเสียการทรงตัว ตัวรถเอียงจะล้ม คุณยายพยายามทรงตัวจับตัวรถเอาไว้ แต่สัมภาระ อาหาร ถุงขนม ที่อยู่ในตะกร้าหน้ารถ ก็หล่นออกมาบนพื้นถนน ส่วนหลานสาวก็หล่นจากรถ กระเป๋าสะพายหลุดจากหลัง ต้อมอยู่ตรงนั้นพอดี เลยเข้าไปช่วยประคองรถ และเก็บสัมภาระที่หล่นลงมา ใส่ตะกร้าหน้ารถ หยิบกระเป๋าใบสีชมพูของหลานสาวขึ้นมา ช่วยปัดดินที่ติดตามแขน ขาของหลานสาวคุณยายให้ แล้วถามว่า "เจ็บรึเปล่า"


       แดนขับรถมอเตอร์ไซต์ผ่านมาพอดี เลยจอดรถแวะดู บอกว่า เด็กคนนี้ เป็นลูกสาวของเขาเอง ส่วนคุณยายก็คือ คุณแม่ของแดน เลยขอบคุณ ต้อมยกใหญ่ และชวนไปทานข้าวเย็นที่บ้านของแดน ที่อยู่แถวๆตลาดแห่งนั้น


        ต้อมกับแดนคุยกันถูกคอ แต่แล้ว สายตาของต้อมก็เหลือบไปเห็นเสื้อสีแดง "ความจริงวันนี้" ที่แขวนอยู่ที่ราวตากผ้าข้างรั้วบ้านของแดน.... อ้าว "แดนเป็นคนเสื้อแดงหรือนี่"  แต่ต้อมก็ไม่ได้ถูกอะไรเกี่ยวกับการเมือง ต้อมไม่อยากแสดงตัวว่า ตัวเองเป็นคนเสื้อเหลือง เป็นพันธมิตร ถ้าไม่พูดเรื่องการเมือง คนไทยทุกคนก็น่าจะคบหากันได้


         แต่บังเอิญ มีเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เอาถุงผลไม้มาให้แดน พอเห็นหน้าต้อม ก็บอกว่า "เฮ๊ย ไอ้นี่มันพวกเสื้อเหลืองนี่หว่า ชวนมันมาที่บ้านได้ยังไงวะ"  


       แดนถึงกับอึ้ง มองหน้าต้อมอยู่ครู่หนึ่ง  หันไปบอกเพื่อนบ้านคนนั้นว่า
       "เสื้อเหลืองแล้วไงวะ ยังไงเค้าก็มีน้ำใจช่วยเหลือ แม่กับลูกสาวของข้านะ"
 แล้วก็พูดคุยกันตามปกติ


         ช่วงหนึ่ง แดนก็ชวนคุยเรื่องการเมืองจนได้ บอกว่า เลือกข้างผิดก็คิดใหม่ได้นะ คนอีสานตั้งเยอะ ไม่ชอบรัฐบาล ชอบทักษิณ เดี๋ยวเลือกตั้งใหม่ พรรคของทักษิณจะกลับมาบริหารประเทศ คราวนี้ล่ะอยู่ยาว คอยดูตอนนั้นละกัน ถ้าจะเลือกข้างใหม่ก็ยินดีนะ


      ต้อมก็พูดขึ้นมาบ้านเหมือนกัน  ทักษิณทำลายชาติ มีแต่เสื่อมลงทุกที คอยดูคำทำนายของหลวงตามหาบัวละกัน ท่านบอกว่า อีกไม่นานทักษิณจะสูญเสียหมดทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้


        คุยกันแบบนี้ ดูท่าทาง อาจจะมีการปะทะ จนถึงลงไม้ลงมือกันได้ แต่ความจริง กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งคู่คุยกัน แบบหยอกๆ เหมือนกับแฟนฟุตบอลทีม แมนฯยู กับ ลิเวอร์พูล ที่พูดถึงทีมโปรดของตน และพูดจาทับถม เย้ยหยันทีมคู่แข่ง ต้อมกับแดน ก็พูดคุยในลักษณะเดียวกัน พูดถึงฝ่ายที่ตัวเองเชียร์ และทับถม เย้ยหยันอีกฝ่าย แล้วก็คุยกันเรื่องอื่นๆ


       ครั้งต่อๆมา เจอกัน ก็แซวๆกัน  "เป็นไงวะ ไอ้คนเสื้อแดง ไม่ไปชุมนุมที่อุดรเหรอ"    "เฮ๊ย เมื่อไหร่พวกพันธมิตรจะชุมนุมอีกวะ งานยังไม่เข้าอีกเหรอ"


    คงมีอีกหลายที่ หลายคน ที่คบกันได้ แต่ไม่เคยถูกกล่าวถึงมากนัก     
    แม้จะต่างขั้ว ต่างสีกัน แต่ก็ยังอยู่ร่วมกันได้ เป็นเพื่อนกันได้
     


คุณวิรัตน์ ขอนแก่น -เรื่องราว