ในการทำงานต่างๆ ถ้าเจอคนที่เข้าใจ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมขยายผลในสิ่งที่ผู้ก่อตั้งโครงการ , ประธานกลุ่มดินรักษ์ฟ้าคิดไว้ จะดีแค่ไหน แล้วคนแบบนี้ จะหาได้จากที่ไหนบ้าง คนที่มีจิตอาสา ซึ่งหาได้ยากในสังคมปัจจุบันนี้แล้ว แล้วการค้นหา คนที่มีความตั้งใจมากกว่า คนที่มีจิตอาสาทั่วๆไป มันจะยากขนาดไหนกัน
ไม่ยาก แต่ต้องสร้างขึ้นมา สร้างพลังศรัทธา ถ่ายทอดพลังศรัทธาที่ประธานกลุ่มดินรักษ์ฟ้ามีเต็มหัวใจ ให้บุคคลต้นแบบรับรู้ ... แต่ที่ผ่านมา ประธานกลุ่มดินรักษ์ฟ้ายังไม่สามารถถ่ายทอดพลังศรัทธาที่มีอยู่ในตัวเองสู่สมาชิกในกลุ่มได้มากนัก ทำให้สมาชิกกลุ่มที่เข้ามากด like ใน facebook นับพันคน แต่มีกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะที่เกิดพลังศรัทธาจนร่วมคิดร่วมทำ ร่วมขยายผล อย่างบุคคลต้นแบบ สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
แล้วจะสร้างพลังศรัทธาเข้าไปในหัวใจคนได้ยังไงบ้าง จะทำยังไง แล้วพี่ Kat DinRakFah จะนึกออกหรือเปล่าว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้เอาพลังศรัทธาใส่เข้าไปในหัวใจของลุงสุเวศน์ อย่างไรบ้าง
หลักการ
1. ทำให้เห็นความตั้งใจ
2. ให้เวลา บ่มเพาะ ทำความรู้จัก ศึกษา จนเกิดความศรัทธาลงในหัวใจ
3. การได้ร่วมงานกัน !! ****
เริ่มจากความคิดของพี่ kat ที่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวของในหลวง ในแง่มุมของเธอ อยากให้คนไทยได้รับรู้ในวงกว้าง ซึ่งที่ผ่านมา เน้นค้นหาข้อมูลและถ่ายทอดลง facebook ทุกๆวัน เวลาำไปจัดกิจกรรมที่ต่างจังหวัด เมื่อออกไปกล่าวปิดงาน ก็ได้พูดเรื่องในหลวงให้เด็กนักเรียนฟังอยู่บ้าง เท่าที่นึกได้ในตอนนั้น เมื่อพูดได้ดี น่าจะเอามาขยายผล อยากให้รวบรวมเรื่องราว เลือกภาพในหลวงมาเล่าในประเด็นที่อยากเล่าดีกว่า แ้ล้วมองหาคนที่ีรักในหลวง อย่าง ลุงสุเวศน์ ทาบทามให้มาร่วมงานนี้กัน ปลายเดือนเมษายน 2554 ก็ขอให้พี่ Kat คัดเลือกภาพมา 20 ภาพ แล้วนั่งเล่ารายละเอียดให้ฟัง มี่เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ ทีแรก เธอบอกว่า จะให้เขียนให้มั้ย
"ไม่ต้่อง พูดออกมาเลยดีกว่า ใช้เวลาให้คุ้มค่า"
แล้วเธอก็พูดรายละเีอียด กล้องวิดีโอก็บันทึกภาพไป แล้วเอาไฟล์วิดีโอไปให้ลุงนั่งดู
การเขียนเ็ป็นการได้เรียบเรียงข้อมูลให้ดีขึ้น แต่การให้พูด เป็นการดึงศักยภาพที่พี่ kat มีอยู่แต่ไม่รู้ตัว ออกมาวางให้คนอื่นเห็น เมื่อลุงสุเวศน์นั่งดูวิดีโอ นอกจากการศึกษาข้อมูลแล้ว ยังจะต้องศึกษาพี่ Kat จากสีหน้า แววตา คำพูด และความตั้งใจด้วย เมื่อเห็นความตั้งใจจริง เห็นพลังศรัทธาในตัว จึงเต็มที่กับการร่วมงานนั้น (1. ทำให้เห็นความตั้งใจ)
วันเวลาผ่านไป ย่อมมีหลายอย่างที่จะต้องทำ หลายอย่างก็ลืมไปได้ พลังศรัทธาก็เช่นกัน คนอื่นก็ลืมเลือนได้ จึงต้องมีการทำซ้ำ !! ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม หลังปลายเืดือน เม.ย. 54 อีก 2 สัปดาห์ พี่ Kat ก็ต้องรีบเลือกภาพในหลวงแล้วมานั่งอธิบายเป็นครั้งที่ 2 อีก ทำซ้ำ ตอกย้ำพลังศรัทธา ทำให้เห็นว่า เป็นตัวจริงแค่ไหน เมื่อฝึกอธิบายครั้งแรกแล้ว จะรู้วิธีการ ครั้งที่สองจะรู้ตัวเองว่า จะต้องเตรียมตัว เตรียมข้อมูลอย่างไร .... อีกมุมหนึ่ง เป็นการฝึกให้คิด เรียบเรียงข้อมูลให้ดีขึ้น แบบไม่รู้ตัว ไม่ต้องบอก แต่ให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
เมื่อ 19 มิ.ย.54 พี่ Kat มาเจอคุณลุงสุเวศน์ ได้บรรยายสดๆต่อหน้า ในจำนวนภาพที่มากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น และมีคนซักถามบางประเด็นให้อธิบายเพิ่ม เป็นการถ่ายทอดพลังศรัทธาของพี่ Kat ลงในหัวใจเข้าไปอีก (2. ให้เวลา บ่มเพาะ ทำความรู้จัก ศึกษา จนเกิดความศรัทธาลงในหัวใจ) แล้วพี่ Kat ได้ใช้เวลาเตรียมตัว ทบทวนข้่อมูลอย่างตั้งใจ เพราะรู้ดีว่า ช่วงเวลาที่อธิบายจะเป็นอย่างไร เหมือนเป็นการแอบฝึกการพูดแบบไม่ใ้้ห้รู้ตัว และดึงพลังศรัทธาที่อยู่ในตัว ออกมาวางให้ลุงสุเวศน์เห็นตรงหน้า (3. การได้ร่วมงานกัน !! ****)
ที่กลุ่มดินรักษ์ฟ้ามาที่จันทบุรี ส่วนหนึ่งมาทำสกูีปสัมภาษณ์ ค้นคนดีของพ่อหลวง วันแรกที่มา มีกิจกรรมหลายอย่างที่ต้องทำ แต่นายบอนกำหนดเวลาให้ ต้องสัมภาษณ์คุณลุงในวันที่สอง วันแรกไม่ได้เด็ดขาด เื่พื่อให้เวลาทำความรู้จักคุณลุงมากขึ้น ได้สัมผัสสิ่งที่คุณลุงจะบอกเล่าในช่วงเย็น ส่วนใครจะได้อะไรแค่ไหน ขึ้นอยู่ักับแต่ละคน
เมื่อเกิดพลังศรัทธาในหัวใจต่อกลุ่มดินรักษ์ฟ้า จึงทำให้ลุงสุเวศน์ พูดว่า ขอเข้าร่วมกลุ่มด้วย พูดออกมาเอง รวมทั้งช่วยคิด ช่วยขยายผล ช่วยบอกต่อ ช่วยหาสมาชิก ช่วยคิดแนวทางที่จะทำให้กลุ่มเติบโตขยายใหญ่ ซึ่ง สมาชิกกลุ่มที่มีมากมายนับพันคน ไม่คิดแบบนี้ เพราะไม่ได้สร้างพลังศรัทธาลงในหัวใจ ยังไม่ได้เห็นความตั้งใจจริงๆ เหมือนที่คุณลุงเห็น ไม่ได้ให้เวลาบ่มเพาะ ทำความรู้จัก ศึกษา และได้ี่ร่วมคิด ร่วมงานกันจริงๆ
พี่ Kat ใช้เวลาถ่ายทอดพลังศรัทธาไปยังลุงสุเวศน์ ไม่ถึง 2 เดือน (ปลาย เม.ย.- มิ.ย.54) แต่ผลงานเกินคาด คนเดียว คิด ทำ ขยายผล เชื่อมโยง ต่อยอด ให้มากกว่าสมาชิกหลายคนที่พี่ kat หวังไว้ ... มากกว่า ญาติพี่น้อง คนที่รู้จักกันมานานซะอีก
คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ สำหรับอนาคต กับการทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องบอกว่า "ขอให้พวกเราไปช่วยงานกันหน่อยนะ ช่วยสลับกันไปจัดกิจกรรมในต่างจังหวัดหน่อยนะ" หรือจะให้เกิดในแบบ จะไปจัดกิจกรรมที่จังหวัดไหน ในเดือนไหน แล้วมีคนช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยขยายผล โดยไม่ต้องมากระตุ้น ขอร้อง หรือเปล่านะ
* หลักการทีุ่ลุงสุเวศน์ นำมาใช้ เป็นหลักการของในหลวงนั่นเอง
"เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา"
พยายามนำมาคิดใช้กับงานต่างๆ แม้แต่งานของกลุ่มดินรักษ์ฟ้า
นับจากนี้ก็อยู่ที่ว่า กลุ่มดินรักษ์ฟ้า ที่ศึกษาข้อมูล เรื่องราวของในหลวง จะหยิบหลักการของในหลวงเรื่องใดมาปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละช่วงเวลา
แต่ละอย่างก็มีวิธีคิด วิธีการที่ต่างกันไป......
ปิดท้าย
1) งานขอเป็นคนดี ฯ ที่ชลบุรี ก็สร้างพลังศรัทธาลงในหัวใจ ใครบางคนที่นั่นได้ อยู่ที่พี่ Kat แล้วล่ะ ว่าจะทำยังไง
2) จากวันนี้ และต่อไป ก็สร้างพลังศรัทธาลงในหัวใจ ของสมาชิกดินรักษ์ฟ้าใน facebook ได้ อยู่ที่พี่ Kat แล้วล่ะ ว่าจะทำยังไง
3) สิ่งที่ทำไปแล้ว เช่น ไปสัมภาษณ์บุคคลในวันที่ 18 มิ.ย.54 ถ้าตัดต่อ จัดทำิิออกมาให้เสร็จสมบูรณ์ เผยแพร่ตามที่ตั้งใจไว้ และส่วนหนึ่ง ทำเ็ป็นซีดี ส่งไปให้ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ชม จะเกิดผลงาน ผู้สนับสนุนหลายอย่างตามมา ตามหลักการ 3 ข้อ ที่ว่ามา (1. ทำให้เห็นความตั้งใจ, 2. ให้เวลา บ่มเพาะ ทำความรู้จัก ศึกษา จนเกิดความศรัทธาลงในหัวใจ, 3. การได้ร่วมงานกัน !! ****)
4) แม้แต่เพลงที่มีโอกาสได้ทำดนตรี ก็เช่นกัน จะนำไปสู่การขยายผลที่ คนทำดนตรี ยังไม่ได้คิด...
ถ้าคิดยังไม่ถึงตรงนั้น ใช้เวลาว่างๆ คิดให้ถึึงตรงนั้น
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554
การสร้างความศรัทธาลงในหัวใจ จนเกิดผลงานที่มีชีวิต+มีอนาคต จากบุคคลต้นแบบ สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
กลุ่มดินรักษ์ฟ้า - การตัดสินใจ และโครงการปลายปี 2554
ค่ำวันที่ 29 มิ.ย.2554 ที่บ้านป้า Kat Dinrakfah มีการนัดหารือกับ พี่ Sako , พี่ Koko และนายบอน เกี่ยวกับรายละเอียดของการทำโครงการ "ขอเป็นคนดีเพื่อพ่อหลวง ครั้งที่ 3" ซึ่งจะจัดในวันที่ 11 ส.ค.2554 ซึ่งทีแรก ว่าจะไปจัดที่โรงเรียนห้วยไข่เน่า ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง ชลบุรี แต่เมื่อได้โทรปรึกษาหารือกับทางคนในพื้นที่ ได้ติดต่อหาโรงเรียนแห่งใหม่ ที่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายตามที่ต้องการแล้ว ซึ่งงานนี้ ทั่นประธานบอกว่า ตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุด เพื่อเก็บผลงานในการขยายผลต่อไป
กิจกรรมหลักสำคัญๆที่จะจัดในวันที่ 11 สค อาทิ การฉายวิดีโอเกี่ยวกับในหลวง, การเล่าเรื่องราวของในหลวง, เขียนการ์ดวันแม่, วาดภาพในหลวง,คำถามชิงรางวัล,ช่วยกันจัดบอร์ดในหลวงร่วมกัน ติดไว้ที่โรงเีรียน ให้บอร์ดแสดงข้อมูลยาวไปถึงปลายปี 2554 กล่าวคำปฏิญาณ, ร้องเพลงสรรเสริญ ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดที่ชัดเจนลงตัวคงจะเกิดขึ้นหลังการประชุมเตรียมงานอีกครั้ง หลังจากได้รายละเีอียดหลักๆ ก็มาถึงการระบุถึงสิ่งที่ต้องการให้คนในพื้นที่เตรียมไว้ให้ เช่น โปรเจคเตอร์ เครื่องเสียง ฯลฯ และได้ส่งเมล์ให้กับคนในพื้นที่จัดงานในวันถัดมา
เสร็จจากรายละเอียด โครงการขอเป็นคนดีเพื่อพ่อหลวงครั้งที่ 3 แล้ว ทั่นประธานได้แจ้งเรื่อง การจะไปจัดนิทรรศการในหลวงที่โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ที่ ตำบลเทพนคร และ ตำบลคณฑี อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ในรายละเอียดที่ค้นหามา พบว่า โครงการนี้ มีหน่วยงานที่สนับสนุนตัวหลักๆ อาทิ ซีพีเอฟ หรือ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร ซึ่งทั่นประธานและรองประธานคาดว่า น่าจะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับกลุ่มดินรักษ์ฟ้า ในการขับเคลื่อนงานต่อไป
"คิดว่าจะไปทำในช่วง ต.ค.2554 นี้ คงจะได้ซีพีมาสนับสนุน เพราะที่ผ่านมา ควักทุนส่วนตัวมาตลอด หมดไปเยอะเหมือนกัน" สีหน้าแววตาของทั่นประธานมีความหวัง เรืองรองขึ้นมาทันที
5 ทุ่ม พี่ koko ก็ขอตัวกลับบ้านเพราะดึกแล้ว นายบอนเลยเล่าความเคลื่อนไหวที่จันทบุรี หลังจากผ่านไป 7 วัน ที่กลุ่มดินรักษ์ฟ้าไปเยือน
1) อ.ชาญศักดิ์ บุญลือ ซึ่งได้พบกับลุงสุเวศน์ เมื่อ 27 มิ.ย. บอกว่า ท่านได้กำลังใจมากขึ้นหลังจากได้เจอกลุ่มดินรักษ์ฟ้าเมื่อสัปดาห์ก่อน และความตั้งใจที่จะทำโครงการพระราชดำริ คงจะเป็นจริงมากขึ้น หากทำตามขั้นตอน ท่านอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น เลยหวังว่า จะมีโอกาสได้พบ ท่านสุเทพ อัตถากร (คุณพ่อพี่Kat) เผื่อจะได้แนวทาง ทำให้ขั้นตอนการทำโครงการสั้นลง ทำได้จริงตามความฝัน ก่อนตาย......... กลุ่มดินรักษ์กำลังจะมีส่วนผลักดันให้ อ.ชาญศักดิ์ ทำโครงการพระราชดำริ!!
2) คุณลุงไปเจอกลุ่มเยาวชน ซึ่งได้ทวงถามว่า เพลงที่ขอให้แต่งใ้ห้ทางกลุ่ม เสร็จหรือยัง คุณลุงบอกว่า เสร็จแล้ว บันทึกเสียงแล้ว แต่คนที่รับงานไปทำ ทำเพลงหายไปไหนไม่รู้ ไม่เป็นไร ลุงจะแต่งให้ใหม่ ทำดนตรีให้ด้วย แต่มีข้อแม้นะ ว่า 1)ต้องเป็นคนดี และรักในหลวง 2) ต้องเอาเพลง "กลุ่มดินรักษ์ฟ้า" ไปร้องด้วย 3) ต้องช่วยงานกลุ่มดินรักษ์ฟ้า หรือ เป็นสมาชิกกลุ่มได้ยิ่งดี
นอกจากนั้น คุณลุงยังได้แนะนำ พูดถึงกลุ่มดินรักษ์ฟ้ากับผู้ใหญ่หลายท่าน เป็นการทำการตลาด สร้างแบรนด์ ดินรักษ์ฟ้า ให้เป็นที่รู้จักตั้งแต่วันนี้เลย
3) ไปที่วัดบ้านขอม พบกับพระอาจารย์นิ่ม เ้้้จ้าอาวาสวัด ซึ่งกลุ่มดินรักษ์ฟ้าได้มาสัมภาษณ์ท่านเช่นกัน ท่านบอกว่า 2-3 วันก่อน อาตมาคิดว่า อยากจะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับในหลวงที่วัด ให้เอาภาพในหลวงมาติด จัดเป็นมุมนิทรรศการไว้ถาวรเลย จะให้ช่างทำที่ติดรูปไว้ให้ เพราะเคยไปเห็นที่พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น เลยอยากจะจัดแบบนั้น แต่ทำแบบเรียบง่าย ญาติโยมที่มาที่วัดจะได้มาชม แต่อาตมารู้ว่า มันมีค่าใช้จ่าย จะใช้ขนาดเท่าไหร่ กว้าง ยาวขนาดไหน กี่รูป......
หลวงพ่อคิด และพร้อมสนับสนุนให้กลุ่มดินรักษ์ฟ้ามาจัดนิทรรศการและติดภาพในหลวงไว้เป็นการถาวร และพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย ทำให้ลุงสุเวศน์ ถึงกับทึ่ง ทีมีคนคิดตรงกัน คือทางเรือนจำจังหวัด ที่ลุงสุเวศน์เ้ข้าไปบรรยายพิเศษ เมื่อได้เห็นภาพในหลวงบางส่วนที่นำมาแสดง ก็เกิดความสนใจอยากให้มาจัดนิทรรศการด้วย เช่นกัน
** หลังจากนั้น คุณลุงก็พุดถึงการขยายผลงาน จากนิทรรศการนี้ อยากจะขยายผล ให้มีการจัดอบรมกลุ่มเยาวชน ที่คุณลุงบอกว่า รับปากจะทำเพลงให้ แล้วให้พี่ Sako ทำดนตรี ซึ่งอยากให้มาอบรมเรื่องราวของในหลวง กลุ่มเยาวชนเหล่านี้ ผ่านการอบรมเ็ป็นวิทยากรกระบวนการมาแล้ว เมื่อมาอบรม จะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของในหลวง จากภาพที่เห็น เหมือนอย่างพี่ Kat DinrakFah พูดถึง 50 ภาพในหลวงให้คุณลุงฟัง คุณลุงจึุงคิดต่อยอด อยากให้มาอบรม สร้างวิทยากร สร้าง "กลุ่มดินรักษ์ฟ้าของจันทบุรี" บอกเล่าเื่รื่องราวในหลวงด้วยหัวใจ จะเ็ป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีชีวิตและวิญญาณ และคาดว่าน่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของในหลวงได้ไม่แพ้กลุ่มดินรักษ์ฟ้าตัวจริง ซึ่งจะเวียนไปทำกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ แต่กลุ่มเยาวชน จะอยู่ในพื้นที่จันทบุรี ทำการเผยแพร่และสามารถติดตามผลที่เกิดขึ้นได้ และเรียนรู้สิ่งต่างๆจากผู้ใหญ่ในพื้นที่ได้อย่างมากมายทีเดียว
* * * * ซึ่งจะไปเชื่อมโยงกับโครงการที่คุณลุงคิดจะทำในช่วง 4-5 ธ.ค.2554 ช่วงงาน 84 พรรษาของในหลวง ซึ่งสามารถที่จะจัดให้ใหญ่ได้ ดึงศักยภาพของกลุ่มดินรักษ์ฟ้าที่มีข้อมูลอยู่มากมาย แต่ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่า มีศักยภาพทำอะไรได้บ้าง และผลงานที่ทำไปหลายอย่าง ยังมองไม่ออกว่า มันจะเชื่อมโยงขยายผลได้อย่างไร แต่ลุงมองอย่างวิเคราะห์ และจะทำการเชื่อมโยงทุกอย่าง และนำเสนอให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ดินรักษ์ฟ้ามีอยู่ ซึ่งประธานและรองประธานกลุ่ม ยังไม่เคยรู้ศักยภาพของตัวเองที่มีอยู่ และยังใช้ไม่เต็ม 100 % สักที
ถอดรหัส++
- มาถึงระหว่างเส้นทางของคำว่า คุณภาพและปริมาณ
- กลุ่มดินรักษ์ฟ้ากำลังวางกับดักตัวเอง จากการที่มีหลายอย่างเข้ามามากมาย.....!!!
ทุกอย่างที่จะทำ ก็จะต้องเตรียมงาน หลายอย่างที่เข้ามาให้เลือก จะถูกจัดลำดับความสำคัญ ทำให้มองเห็นว่า อะไรสำคัญมาก น้อย
1) ปลายสิงหา 2554 นี้ 50 ภาพที่พี่ Kat DinRakFah นั่งอธิบายภาพในหลวงให้ลุงสุเวศน์ฟัง มีวิดีโอมาให้หลายคนได้เ็ห็น นั่นคือ โครงการถ่ายทอดเรื่องราวในหลวงจากภาพ เขียนออกมาเป็นบทกวีที่กระชับเนื้อหา มีสัมผัสของบทกวี หารือกันไว้ตั้งแต่ปลาย เม.ย.2554 ว่า น่าจะทำเป็นหนังสือบทกวี ประกอบภาพ เพื่อถวายในหลวง หลังจากเขียนเสร็จแล้ว และเตรียมทำเป็นรูปเล่มตามขั้นตอน
2) 50 ภาพเสร็จ จะตามด้วยเรื่องพระมหาชนก ที่คุณลุงบอก อยากทำให้เสร็จก่อนตาย เสร็จทัน อาจจะทำถวายในหลวงด้วยก็ได้
(คุณลุงสุเวศน์ เคยทำอัลบั้มเกษตรโยธิน ชุด 1 ร่วมกับไก่ แมลงสาบ นำมาสเตอร์เทป ถวายแด่พระเทพ เมื่อ ธ.ค.2552)
.......หลังจากเสร็จจากงาน ขอเ็ป็นคนดีเพื่อพ่อหลวง 3 ที่ชลบุรี (11 สค) งาน 50 ภาพ 50 บทกวีของคุณลุงก็จะเสร็จทันที ช่วงเวลาเกี่ยวเนื่องกับ การไปจัดนิทรรศการที่กำแพงเพชร ซึ่งพี่ Kat ได้ติืดต่อกับทางกำแพงเพชร ได้รายละเอียด และการสนับสนุนแล้ว ในช่วงเวลานั้น ก็จะต้องเตรียมงานเพื่อนิทรรศการ
** ดังนั้น นายบอนจึงต้องสละสิทธิที่จะร่วมงานที่กำแพงเพชร จำเป็นต้องคอยดูแลคุณลุง เพราะไม่สามารถทิ้งคุณลุง ทิ้งความตั้งใจ และความทุ่มเทของคุณลุงได้
แต่ละวันที่ผ่านไป คุณลุงคิด ที่จะขยายผล เชื่อมโยง ต่อยอด สิ่งที่ดินรักษ์ฟ้ามีอยู่ ตั้งใจที่จะทำอย่างเต็มที่ในโอกาสมหามงคล 7 รอบ 84 พรรษาของในหลวง และน่าจะทำได้เต็มที่เท่าที่แรง กำลัง และสติปัญญาจะทำได้ ผ่านช่วงเวลานี้ไป ไม่แน่ใจว่า สุขภาพร่างกาย จะเ็ป็นอย่างไร ไม่ประมาทกับวันเวลา ทำได้ในช่วงเวลานี้ เพราะไม่แน่ใจว่า ถ้าผ่านพ้นช่วงปีนี้ จะทำอะไรได้เหมือนวันนี้หรือไม่
แนวคิดของคุณลุงคือ "เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง" ตามหลักปรัชญาของในหลวง ทำอะไรต้องรู้จริง ดีที่สุด อยากให้กลุ่มดินรักษ์ฟ้า จาก 1 ขยายเป็น 5 จาก 5 เป็น 10 ... ถ้าเปรียบกลุ่มเป็นบ้าน จะต้องสร้างโครงบ้านให้แข็งแรง วางรากฐานให้มั่นคง ทนต่อลมพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาได้ ทำงานต้องมีชีวิต มีวิญญาณ มีอนาคต จึงมองไกลถึงอนาคต คิดเชื่อมโยงถึงการสร้างทีมดินรักษ์ฟ้าจันทบุรี แนะนำกลุ่มดินรักษ์ฟ้า ให้ผู้นำองค์กร หน่วยงาน อดีตครู-ข้าราชการ คนทำงานตัวจริง เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ เป็นกำลังหนุนที่สำคัญ รวมคนที่รักในหลวง
นำไปสู่การทำงานร่วมกัน ระหว่างกลุ่มดินรักษ์ฟ้าและคนในชุมชน เป็็นเจ้าของผลงานร่วมกัน ทำโครงการร่วมกัน หาผู้สนับสนุนจากผลงานที่ทำร่วมกันในวิถีที่คนในชุมชน ไม่ใช่ผู้มีฐานะก็สามารถทำได้
ถ้าในมุมของกลุ่มดินรักษ์้ฟ้า การได้มีโอกาสไปจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ถือเป็นกำไรชีวิต และได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และมีผู้ร่วมสนับสนุนมากมาย พบทั้งความสำเร็๋จและปัญหา ปนเปกันไป ซึ่งการทำงานทุกอย่าง การตัดสินใจทุกเรื่อง ก็ดีทุกอย่าง
ยิ่งกลุ่มดินรักษ์ฟ้า เป็นที่รู้จักมากขึ้น จะมีข้อเสนอ มีสิ่งที่น่าสนใจ น่าทำเข้ามาให้เลือกมากมาย ทุกอย่างจึงต้องตัดสินใจ เลือกตามลำดับความสำคัญ และเป็นการเลือกที่จะเก็บ-เลื่อน หรือไม่ทำบางอย่างไปด้วย
* จึงต้องมีการเตรียมแผนงานที่ 2 และ 3 ไว้ กรณีที่สมาชิกกลุ่มดินรักษ์ฟ้า ตัดสินใจ ทำกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจมากว่า
เช่น
- บทกวี 50 ภาพในหลวง ก็คงต้องทำกันเอง เพราะคุณลุงทุ่มเททำอย่างสุดหัวใจ ขั้นตอนที่จะต้องขวนขวายหาทางทำกันเอง
1.ตรวจสอบความถูกต้อง
2.จัดทำรูปเล่ม
3. สอบถามสำนักพระราชวัง ถึงขั้นตอนการถวายหนังสือ
4.ทำตามขั้นตอน รวมทั้งระบุว่า เป็นผลงานจากกลุ่มดินรักษ์ฟ้า
5. ติดต่อสอบถามสำนักพิมพ์ที่เล็งไว้ ในเรื่องการเผยแพร่
6. ติดต่อผู้สนับสนุน ขยายผล
** ถ้าหากมีการตัดสินใจว่า จะมาจัดอบรมกลุ่มเยาวชน เพื่อให้เป็นวิทยากรถ่ายทอดเรื่องราวของในหลวง หรือเป็นทีมดินรักษ์ฟ้าของจันทบุรี คุณลุงจะต้องคิดเตรียมงาน เตรียมทุกอย่าง ประสานงาน ติดต่อ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ขยายผลได้ และผลงานที่ได้ มีอนาคต
การตัดสินใจทุกอย่างในช่วงเวลาก่อนที่ดินรักษ์ฟ้าจะก้าวสู่ปีที่ 3 นั้น สำคัญยิ่งนัก จะเลือกวางรากฐานให้มั่นคง จะเลืิอกที่จะทำเสนองานให้ทั่วถึงหลายพื้นที่ หรือจะให้เป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในช่วงเวลานี้
กว่าจะเป็นงานดีๆ ก็มีเรื่องต้องตัดสินใจ ต้องเลือกเหมือนกัน เมื่อเห็นความตั้งใจที่่สูงยิ่งของคนๆหนึ่งแล้ว คงไม่สามารถละเลย ไม่ดูแลได้ และอาจทำให้ พลาดการไปร่วมในหลายกิจกรรมของดินรักษ์ฟ้าอย่างคิดไม่ถึง...
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ความหวาดระแวงของผู้ชายเจ้าชู้
ผู้ชายที่มีลีลา คารม การเอาอกเอาใจที่ดี ย่้อมเป็นที่ถูกใจของสาวๆ ผู้ชายคนนั้น จึงมีแฟนเยอะ มีกิ๊กเยอะแยะ ถือว่า เป็นความสามารถเฉพาะตัวได้เช่นกัน
สำหรับผู้หญิงหลายคน รัก และชอบผู้ชายแบบนี้
เดี๋ยวนี้ ช่องทางการสื่อสารอย่าง facebook ทำให้เราได้รู้จักกับผู้คนเยอะมากขึ้น จึงมีแฟน มีกิ๊กกันง่ายขึ้น ไม่่ว่าจะอยู่ที่ไหน สามารถแชท โทรศัพท์ และส่งข้อความได้บ่อยเท่าที่ต้องการ สามารถสร้างความผูกพัน ผูกใจกันไว้ เป็นแฟนกันไป คบกันไป
มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอันหนึ่ง เมื่อชายเจ้าชู้ เปิดใจคบกับสาวต่างจังหวัด เื่มื่อพูดคุยกัน ถุกคอถูกใจ คิดว่าคนนี้ใช่ คนนี้แหละ เลยโทรคุยกันมาตลอด
ฝ่ายหญิงก็คงจะรู้กิติศัพท์ของฝ่ายชายเป็นอย่างดี จึงพยายามสอดส่อง ตรวจตรา จับตาว่า แฟนหนุ่มไปจีบใครหรือเปล่า ถ้าเจอจะได้จัดการ ส่วนฝ่ายชายก็มีฝีมือพอตัว เอาตัวรอดมาได้บ่อยๆ
เมื่อนายบอนได้รู้จักกับคู่รักคู่หนึ่ง ในกิจกรรมเพื่อสังคม ได้เจอครั้งแรก ทั้งคู่เป็นคนที่มีจิตอาสา เต็มที่กับงานเพื่อสังคม และมีโอกาสได้คุยกับฝ่ายหญิงทาง facebook
คุยกันไป ก็แซวเรื่องความเจ้าชู้ของแฟนหนุ่ม + คุยเรื่องงาน คุยกันอย่างตรงไปตรงมา เมื่อคุยทาง facebook เสร็จ เธอก็จะโทรไปเล่าให้แฟนหนุ่มฟัง ซึ่งนายบอนก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ไม่มีอะไรต้องปิืดบัง จะเอาไปบอกกันก็ตามใจ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่า เธอต้องโทรไปคุยกับแฟนหนุ่มแทบทุกชั่วโมง
ไม่รู้ว่า ฝ่ายหญิงโทรไปคุยกันยังไง ปรากฏว่า ฝ่ายชาย เกิดหึงขึ้นมา.... เมื่อได้รู้จากญาติพี่น้องของฝ่ายชาย นายบอนถึงกับอึ้ง ทำไมถึงตีความแบบนั้นไปได้
ปกติก็คุยกับเพื่อนที่เป็นผู้หญิงหลายคน และได้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเพื่อนเป็นอย่างดี ไม่เห็นแฟนหนุ่มคิดมาก หึงหวงอะไรแบบนี้เลย แล้วนายบอนก็คุยกับเพื่อนผู้หญิงหลายคน ก็พึ่งมีคู่นี้แหละที่แฟนหนุ่มเกิดอาการหึง
เมื่อมองดูอีกที คงไม่ีมีเพื่อนชายคนไหน มาคุยกับเธอมากมายหลายประเด็นมั้ง เวลาที่เธอโทรไปเล่าให้แฟนหนุ่มฟัง แฟนก็คงจะคิดอะไรบ้างละ ไม่เคยเห็นแฟนสาว ไปคุยกับใครแล้วมีอะไรมาเล่าให้ฟังมากมายแบบนี้มาก่อนเลย แล้วทำไมแฟนสาวถึงไปสนใจ มีเรื่องคุยกับผู้ชายคนอื่นมากถึงขนาดนี้ แล้วมันยังแซวแฟนหนุ่มซะอีก มันต้องคิดอะไรแน่ๆ
.คิดแบบนี้ เป็นใครก็ต้องระแวง
แต่ถ้ามองให้ดี ก็แสดงว่า ฝ่ายชายยังไม่รู้จักฝ่ายหญิงดีพอ ยังไ่ม่รู้จักอีกหลายมุมของฝ่ายหญิง เมื่อระแวงแฟนสาว ไม่รู้จักดีพอ ก็ย่อมคิดมาก
แน่นอนว่า คนที่ตกอยู่ในห้วงของความรัก ย่อมคิดมากกว่าคนทั่วๆไปแน่นอน ถ้าระแวงสงสัยแบบนี้ น่าจะใช้เวลาคุย ทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น จะได้รู้จักกันทุกมุม และรักกันให้มากขึ้น
ถ้าแฟนสาวคุยกับเพื่อนต่างเพศแล้ว แฟนหนุ่มระแวง คิดมาก ถ้าแฟนสาวไม่ไ้ด้คิดอะไรแบบนั้น แฟนหนุ่มต้องปรับตัวแล้วล่ะ
มีหลายกรณีที่ฝ่ายหญิง ทำตัวให้แฟนหนุ่มไม่ไว้ใจ หรือ ต่างฝ่ายต่างยังไม่มั่นใจในกันและกันเท่าไหร่ หรือยังมีเวลาทำความรุ้จัก และเรียนรู้กันไม่มากพอ
แบบนี้ก็ต้องระแวงกันไป ถือเป็นบททดสอบความรักอย่างดีทีเดียวนะเนี่ย ว่าจะก้าวข้ามความไม่ไว้วางใจ จนเชื่อใจกันได้หรือไม่...
เสือสองตัว สองคู่แค้นจะร่วมงานกันได้ไหม ??
ถ้าพูดถึง 2 คู่แค้น ไม่ว่าจะเป็นคู่หญิง หรือคู่ชาย เมื่อได้มาเจอกัน ก็จะเกิดความขัดแย้งกัน ปะทะกันบ่อยครั้ง เมื่ออยู่ลับหลังก็ยังหาโอกาสที่จะต่อว่า หรือ หาทางทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่บ่อยๆ
สำหรับคนกลาง คนที่รู้จักทั้งสองฝ่าย หากมองข้ามความขัดแย้ง แต่มองถึงการทำงานร่วมกัน และเป้าหมายร่วมกันแล้ว จะมองเห็นพลัง ความตั้งใจ ความสามารถที่มีอยู่ของทั้งสองฝ่าย แต่เสียดายที่มีความขัดแย้ง จนกลายเป็นความแค้นขึ้นมา
ถ้าคนกลาง ที่ต้องการที่จะนำทั้งสองฝ่าย มาทำงานร่วมกัน แต่ไม่ต้องพบหน้ากัน ถ้าสามารถควบคุมไม่ให้ 2 คู่แค้นปะทะกันได้ จะสามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
หลายคน มีหลักคิดที่ว่า จะต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องส่วนรวมให้ได้ แต่ในบางจังหวะ บางอารมณ์ ที่สองฝ่ายเกิดความแค้น ถูกสะกิดต่อมแค้นขึ้นมา เช่น เรื่องความรัก อกหัก การเก็บกด การเสียความรู้สึกต่างๆ ต่างฝ่ายต่างรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะระบายออกมา บางคนถึงขั้นระเบิดออกมาเลยทีเดียว
ผู้ประสานงานที่พยายามจะดึงความสามารถ ดึงผลงานจากคู่แ้ค้นทั้งสองฝ่าย จะต้องตั้งสมาธิ ดูแลใ้ห้ดีๆ อย่าให้คู่แค้นปะทะกันได้ ต้องตั้งสติ สมาธิ ประคับประคองให้สองฝ่ายทำงานไปให้ถึงจุดหมายให้ได้
กรณีที่น่าสนใจ คือ สองฝ่าย ต่างรักในหลวง พยายามที่จะช่วยกันเผยแพร่ ปกป้องสถาบัน ส่งเสริมสนับสนุนคนรักพ่อหลวง ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมีแนวทางของตัวเองในการทำงานส่วนนี้ มีความตั้งใจสูงทั้งสองฝ่าย
แต่ความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถจะดูแลทั้งสองฝ่ายได้ตลอด 24 ชั่วโมง บางเวลาอาจจะมีอะไรมาสะกิดใจ เกิดความแค้น จนต้องระบาย ระเบิดขึ้นมา แน่นอนว่า แผลใจและความแค้น มันยากที่จะลืมเลือนจริงๆ
การที่จะนำสองคู่แ้ค้นมาทำงานร่วมกัน ผู้ประสานงานต้องอดทน รอบคอบ เอาใจใส่ให้มากกว่างานปกติ แม้ว่า สองฝ่ายต่างอยู่ในที่ของแต่ละคน แต่ก็มีโอกาสที่จะมาปะทะกัน ขัดแย้งกันได้ทุกเมื่อ
ความจริง ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้โกรธกันมาตั้งแต่เกิด ก่อนที่จะมีเรื่องกันก็อยู่กันตามปกติ ไ่ม่ได้คั่งแค้นมากมายอะไรนัก
ถ้าลองหันมามองพ่อหลวง มองดูคนไทยที่แบ่งขั้วแบ่งสี ไม่ว่าจะเ็ป็นแดง-เหลือง หรือสีไหน ทุกคนคือลูกของพ่อหลวง พ่อหลวงรักลูกไทยทุกคน
เช่นเดียวกัน ในชีวิต ในแ่ต่ละวัน เรามีโอกาสได้พบเจอผู้้คนมากมาย เป็นพัน หมื่น แสนคน ความจริงแล้วสองคู่แ้ค้น ก็เป็นหนึ่งในแสนคน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยจริงๆ ดังนั้นอย่าให้ชีวิต ติดหล่มจมกับความแค้น ความเจ็บปวดอยู่กับคนเพียงหนึ่งคนตลอดไป แต่คนอีก 99,999 คน นั้น มีมิตรภาพที่ดีให้กับคุณมากกว่า 1 คนที่คุณปักใจแค้น
ทำไมถึงต้องใช้เวลาจมปลัก คิด และแค้นกับคนเพียง 1 คนมากนัก
จะแค้นคน 1 คนก็แค้นไป แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับคนอีก 99,999 คนที่มีมิตรภาพ มีความรู้สึกที่ดีต่อคุณด้วยล่ะ
ไฟในทรวง -หัวใจ ความรัก ความแค้นที่ืลืมไม่ได้
"ทำไมผู้หญิงคนนี้ ถึงได้ด่าว่าผู้หญิงคนนั้น แบบจองล้างจองผลาญขนาดนั้นเลยนะ ทำไมถึงได้คั่งแค้นมากถึงขนาดนั้น"
"เห็นคำพูดที่พูดถึงผู้หญิงอีกคน แรงมากๆเลย ทั้งคำว่า มันสร้างภาพ มันเลว ฯลฯ สารพัดคำพุดที่ขุดขึ้นมา แรงจริงๆ"
เมื่อสิ่งที่ผู้หญิงคนแรก ถูกผู้หญิงอีกคนด่าว่า ถูกนำมาเล่าให้ฟังว่าทำอะไรผิดทำอะไรไม่เหมาะสมบ้าง เมื่อมีโอกาสไปฟังผู้หญิงคนที่สองพูด เธอก็ว่า ผู้หญิงคนแรก ทำอะไรผิดบ้าง เลวยังไงบ้าง
เืมื่อไปถามไถ่คนนอกที่รู้เรื่องราวมาก่อน ได้รับคำตอบว่า "เบื่อว่ะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเื่รื่องผัวๆเมียๆเลย รักสามเศร้าก็แบบนี้แหละ ฝ่ายหญิงก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ทั้งสองคนแรงทั้งคู่
เ้ออ.. แค้นอะไรกันนักหนาเนี่ย
คนนอกที่รู้เรื่องคนหนึ่งบอกว่า มีสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ผู้หญิงสองคนลืมความแค้นระหว่างกัน ก็คือ การให้อภัย ถ้าเข้าไปพูดกันดีๆ ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะให้อภัย แต่ถ้ามาเจอกันต่อหน้าต่อตา ความไม่พอใจก็จะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
"ถ้าเกิดความสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตของคนทั้งสองคนนั้น มันน่าคิดว่า อะไรคิดสิ่งสำคัญที่ควรจะทำมากกว่าการโกรธแค้นกัน มัวแต่ปล่อยให้อารมณ์ ความแค้น ไฟในทรวงมันเผาใจตัวเองให้ร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา"
"ที่จริงแล้ว สติ สมาธิ เหตุผล ลมหายใจ ความเมตตา น่าจะสำคัญกว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ อยู่เหนืออารมณ์ ความแค้นได้ ก็จะชนะใจตัวเอง และคนอื่น แต่ถ้า อารมณ์ ความแค้น มันเหนือกว่า มันก็จะเผาใจไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นเวรกรรมของคนทั้งคู่"
ฟังคำพูดนี้แล้ว ก็น่าคิดเหมือนกัน ถ้าพูดตามความเชื่อทางศาสนา ทั้งคู่อาจจะเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาแต่ชาติก่อน ผู้หญิงทั้งสองคนคงก่อกรรมต่อกันไว้ ชาตินี้เลยตามมาเอาคืน ถ้าดับไฟในใจกันไม่ได้ ไฟก็จะเผาใจต่อไป ร้อนรุ่ม เจ็บทุกครั้งเมื่อมีอะไรมาสะกิด
ในยามที่ไม่เกิดความแค้น ผู้หญิงทั้งสองคนเป็นคนที่มีพลัง ทำงานเก่ง มีความสดใส น่ารัก ในแบบของแต่ละคน เสียดายที่ยังมีความแค้นในใจอยู่
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ความรัก ความขัดแย้ง สติและการชนะใจตัวเอง เมื่อนึกถึงพ่อหลวง
เมื่อความรัก ไม่มีที่สำหรับคนสามคน โลกที่สดใสสวยงามก็เริ่มขุ่นมัวขึ้นมาทันที เมื่อเกิดความขัดแย้งในเรื่องของความรัก
ชีวิตของคนมีโอกาสได้พบเจอกับผู้คนมากมาย ได้รู้จัก ถูกใจ ชอบพอ และรักใครได้หลายครั้งหลายคน จึงมีรักเก่า รักใหม่ รักในอดีต และรักในปัจจุบันเกิดขึ้น เมื่อคนหนึ่งกลายเป็นอดีต และคนใหม่เป็นปัจจุบันในหัวใจ สำหรับผู้ที่เป็นคนเลือก ย่อมรู้ดีว่า สิ่งไหนคือปัจจุบัน สิ่งไหนจบไปแล้ว แต่ความคิด และความรู้สึกของแ่ต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
สำหรับคนหนึ่ง เรื่องเก่าอาจจะจบไปแล้ว แต่สำหรับอีกคน เรื่องนั้นมันยังคงติดค้างคาใจยากจะลบเลือน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่า มันไม่สำคัญ แต่หากวันใด ถูกสะกิดเบาๆ เรื่องที่เก็บกดไว้ ก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
คนในอดีต และคนในปัจจุบัน ต่างคิดว่า ตนทำถูกต้องแล้ว แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะอีกฝ่ายทำให้เกิดขึ้น ยิ่งนึก ยิ่งแค้น ยิ่งเจ็บใจ หลายครั้งจึงหาทางระบาย บอกเล่าเรื่องคาใจให้คนอื่นรับรู้ คนฟังก็ตัดสินไปตามที่ได้ยินว่า อีกฝ่าย ผิด!! แต่ความจริงนั้น ไม่มีใครรู้ดีเท่าสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เมื่ออดีตถูกสะกิดขึ้นมาคราวใด เรื่องราวความขัดแย้งก็ถูกหยิบขึ้นมาบอกเล่า เมื่อคนฟังที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างฟังเรื่องราว ปรากฏว่า เรื่องที่ได้ยิน ไม่ตรงกันบ้าง ถ้าได้ฟังจากสองฝ่าย ยิ่งไม่ตรงกันเลย ถ้าคนฟังจะทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นให้ดีๆ ต้องตั้งสติ และพยายามลำดับเรื่องราว ที่มาที่ไปให้ดีๆ เพราะสองฝ่ายจะบอกเล่าในสิ่งที่อยากเล่า แต่คนอื่นไม่รู้ที่มาที่ไปว่า ทำไมถึงเกิดเหตุอย่างนั้น ถ้าตั้งสติและฟังไม่ดี อารมณ์ก็พาไป แล้วตัดสินไปตามสิ่งที่ได้ยิน และเชื่ออย่างนั้น
ถ้าหากตัดเรื่องความขัดแย้ง เรื่องในอดีต แล้วทำความรุ้จักในแง่มุมอื่นๆบ้าง จะพบว่า มีหลายอย่างที่น่ารู้จัก น่าคบหา มีความจริงใจ ความตั้งใจที่ดีๆ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง สองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน จะทำงานร่วมกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อย่างดีทีเดียว แต่โชคไม่ดีที่มีปัญหาหัวใจกันซะก่อน
ต่างฝ่ายต่างคิดว่า ฝ่ายตนถูกต้อง เมื่อไม่พอใจอีกฝ่าย หรืออีกฝ่าย ทำอะไรให้ไม่พอใจ ก็จะตอบโต้ตามวิธีการของตนเอง ทำให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่พอใจ เกิดแผลที่ลึก ยิ่งนานวันยิ่งสะสมความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ วนไปมา ไม่จบเสียที
แต่เมื่อลองสอบถาม คุยกับทั้งสองฝ่าย สองฝ่ายมีสิ่งหนึ่งที่คิดตรงกัน คือ "รักในหลวง"
หลังจากที่ได้คุยกับฝ่ายหนึ่ง ในเืรื่องความขัดแย้งของความรัก เมื่อเธอได้ระบายความรู้สึกออกมาชุดใหญ่ และได้แสดงความคิดเห็นให้เป็นข้อคิดกลับไปบ้าง หลายสิ่งที่วิจารณ์ออกไป เธอบอกว่า ผิด เมื่อผิดก็ยอมรับ และขอโทษตรงๆที่มองเธอผิดไป
เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคงจะคิดอะไรบางอย่างได้ ท่าทีจึงเริ่มเปลี่ยนไป ก่อนที่จะพิมพ์ความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากใจ ว่า
"......่ในเมื่อ เรากิดมาบนผืนแผ่นดิน
เรามีพ่อคนเดียวกัน
พ่อสอนเรา
ให้เรารู้จักอภัย
เราลูกของพ่อ
เรามีจิตสำนึกที่ดี
เราถูกหล่อหลอมมาในสิ่งที่
ถูกตรง
กล้ายอมรับควมจริง
สิ่งไหนผิด
เราขอโทษได้
แต่ถ้าไม่ใช่เราขอเหตุผล
คนเราก็เป็นแบบนี้
เราเข้าใจ
เราเข้าใจเจตนารมย์ของกลุ่ม
ทุกคนเชื่อมั่น
ศรัทธา
ในความดี
อยากทำให้พ่อยิ้ม
มีความสุข
''อภัย''
คือสิ่งที่ประเสริฐ์ที่สุด
ถ้าพ่อรู้
พ่อคงภูมิใจ
ที่ลูกๆๆปรับตัวเข้าหากันได้
''เรามาทำสิ่งดีๆๆเพื่อพ่อกันเหอะ''
''เรามาทำสิ่งดีดีเพื่อพ่อกันเหอะ''
นี่คือคำตอบ
เราต้องเคลียร์
ไม่งั้นทำงานด้วยกันไม่ได้"
...............
นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการสื่อสาร สนทนากันในเวลานั้น หลังจากที่สื่อสารกันกับการบอกเล่าเรื่องที่ขัดแย้งในเรื่องความรักมานานหลายนาที เมื่อเธอได้สติ ก็ขบคิดถึงคำสอนของในหลวงขึ้นมาทันที
อย่างน้อย การชนะใจตัวเอง มีสติ และนึกถึงบุคคลต้นแบบ นำคำสอนมาเตือนสติตัวเองได้ นับว่า ประเสริฐที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เมื่อยิ่งลักษณ์มากาฬสินธุ์ กับปฏิืบัติการแก้เผ็ดสาวกเผาไทย
"มาถ่ายวิดีโอให้หน่อยน่า วันนี้มีเวทีปราศรัยที่หน้าศาลากลาง ยิ่งลักษณ์มาที่กาฬสินธุุ์วันนี้นะ ไม่อยากมาดูตัวเป็นๆเหรอ"
..มายุ่งอะไรกะกูวะ บ้ารึเปล่าเนี่ย กูจาโหวตโน มาชวนกูทำไมเนี่ย....
นายบอนอยากจะตอบเพื่อนไปแบบนี้ ก็ได้แค่คิด ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน เพราะมันก็รู้อยู่ว่า นายบอนไม่ชอบพรรคเผาไทย แม้จะนิ่ง ไม่ตอบ แต่มันก็พูดเชียร์เบอร์ 1 ยกนโยบายมาพูด แล้วบอกว่า ทีเรื่องโหวตโน เขายังเปิดใจรับฟังเลย ทำไมไม่เปิดใจในสิ่งที่เขาอยากให้ฟังบ้าง
เออ ไปดูซักหน่อยซิว่า สาวกเผาไทย จะแห่มาดูยิ่งลักษณ์ขนาดไหน คนจะแน่นเต็มสนามหน้าศาลากลางทุกตารางนิ้วอย่างที่มันพูดเชียร์รึเปล่าเนี่ย แต่ให้ไปถ่ายรูปให้ นายบอนก็คิดวิธีแก้เผ็ดไว้แล้ว
ฟังจากรถแห่โฆษณาบอกว่า เวทีเริ่มตอน 9.00 น. 23 มิ.ย.2554 แหม ปราศรัยตอนสายๆเลยเหรอ ออกจากบ้าน ผ่านถนนหน้าตลาดทุ่งนาทอง ตรงสี่แยกไฟแดง รถติดยาวพอสมควร มีรถกระบะที่มีคนนั่งข้างหลัง จอดเรียงติดไฟแดงหลายคัน พาคนเข้ามาฟังการปราศรัยของยิ่งลักษณ์กันมากขนาดนี้เลยหรือ ดูท่าทางสาวกพรรคเผาไทยคงจะมากันเต็มสนามหน้าศาลากลาง
เข้าไปใกล้ สนามหน้าศาลากลาง มีผู้คนใส่เสื้อแดง เสื้อ พท. เสื้อที่ีมีรูปยิ่งลักษณ์ ที่สกรีนแบบต่างๆ กำลังเดินมุ่งหน้าไปที่ศาลากลาง รถติดพอสมควร พื้นที่แห่งนี้ แน่นอนว่า เป็นฐานเสียงของพรรคเผาไทยอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
เข้าไปถึงบริเวณสนามหน้าศาลากลาง ดูจำนวนผู้คนแล้ว ผิด คาด นึกว่าจะมากันแน่น เต็มพื้นที่อย่างที่เ้ห็นในข่าว แต่ผู้คนจะหนาแน่นที่ใกล้เวที แต่ห่างออกมา มีแต่ที่ว่าง แล้วผู้คนอีกมากมาย ไปนั่งอยู่ตามร่มไม้ ไม่ได้สนใจฟังเวทีปราศรัยมากนัก บางคน เมื่อได้โอกาสเข้ามาในเมือง ก็เดินไปซื้อของที่ตลาดสด
มองดูทั่วสนามหน้าศาลากลาง ครึ่งสนามเป็นที่จอดรถ อีกครึ่ง เป็นพื้นที่สำหรับคนมาฟังปราศรัย แต่ดูจากรูปแล้ว น่าจะเป็นหย่อมหนึ่งของครึ่งสนามเท่านั้น กระแสที่ถูกปลุกว่า เสื้อแดงมาแรง พรรคเผาไทยมาแรง แต่ความจริง ไม่แรงอย่างที่คิด
บางมุมเท่านั้นที่ผู้คนหนาแน่น เหมาะสำหรับจับภาพ แต่ถ้าห่างออกมานิดเดียว ที่ว่างเพียบ แบบนี้ เสื้อแดง ไม่แรงอย่างที่คิดว่ะ
++ เมื่อเพื่อน ที่เป็นสาวกเผาไทย อยากให้มาถ่ายรูปให้ ก็ถ่ายให้ตามต้องการ แต่เมื่อมาชวนคนทีี่จะโหวตโน มาถ่ายรูปให้ ก็เลยแก้เผ็ดซะเลย ติด "โหวตโน" ใส่รูป และ วิดีโอซะ ขอหน่อยเถอะน่า 5555
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554
หนามตำใจ 10 - คำขอของรุ่นพี่กับแผลรักที่ถูกยื้อ
(ต่อจาก หนามตำใจ 9) หลังจากที่ไปทำบุญแล้วเจอพระป่าทักว่า เรื่องคดีฟ้องหย่า สู้ไปก็ไม่ชนะ และสามีถูกคุณไสย เมียหลวงซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แต่คำพูดของพระป่า ทำให้เธอต้องคิดหนัก มีคนบอกให้ฟังหูไว้ห ู อาจจะเป็นจริง หรือไ่ม่จริงตามที่พระป่าพูดก็ได้
แต่รูปถ่ายระหว่างสามีกับเมียน้อย หลักฐานมันชัดเจนขนาดนั้น เธอคิดว่า น่าจะชนะคดีแน่นอน ฝ่ายสามีคงยากที่จะแก้คดีให้ชนะได้
เมื่อทนายความกลับจากไปเจรจาที่สำนักงานที่สามีทำงานอยู่ ทนายความบอกว่า คงจะยังไม่ยื่นฟ้องทั้งหมด แต่ข้อเรียกร้องบางอย่าง น่าจะยื่นฟ้องได้ ทำเอาเมียหลวงอึ้ง การฟ้องร้องคดีเริ่มมีอุปสรรคซะแล้ว
เมียหลวงจึงไปพบกับหัวหน้าสำนักงานที่สามีทำงานอยู่ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบจากสถาบันเดียวกับสามี และรู้จักกับเธอเป็นอย่างดี ซึ่งแต่ก่อน เมียหลวงเคยทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่สำนักงานแห่งนี้ จนได้พบกับสามี คบหาจนรักกัน ตัดสินใจแต่งงานกัน รุ่นพี่หัวหน้าสำนักงาน ทั้งรัก ห่วงใย เอ็นดู น้องทั้งสองเป็นอย่างดี รู้จักทั้งคู่มาตั้งนาน เมื่อเมียหลวงจะทำเรื่องฟ้องหย่า รุ่นพี่หัวหน้าเก่าของเธอเลยเรียกเธอไปพบ
รุ่นพี่หัวหน้าสำนักงานพูดกับเธอตรงๆว่า ขอก่อนได้ไหม อย่าพึ่งฟ้องคดี เพราะรักและห่วงใยน้องทั้งสองคน ไม่อยากให้แตกหักกัน โดยรุ่นพี่จะขอพูดกับสามีของเธอ จะเคลียร์ให้เรื่องต่างๆจบลงด้วยดี ลงตัว เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เลยขอให้เมียหลวงอย่าพึ่งฟ้อง ส่วนเรื่องที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเมียน้อย รุ่นพี่หัวหน้าสำนักงานบอกว่า ไม่ห้ามในเรื่องนี้
"แต่ถ้าคุยแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ พี่จะบอกให้สามีของเธอไปหย่าให้เลย ไม่ต้องฟ้องให้เสียเวลา"
เมียหลวงรู้สึกอึดอัดมากๆ แล้วที่ผ่านมา สิ่งที่สามีทำกับเธอล่ะ มันเจ็บปวดมากแค่ไหนกัน จะต้องยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน แต่ด้วยความเกรงใจและเคารพในรุ่นพี่หัวหน้าคนเก่าที่ขอร้องเธอ จึงต้องรอ เรื่องฟ้องร้องก็ต้องชะลอไว้ก่อน
เมียหลวงนึกถึงคำพระป่า สู้ก็ไม่ชนะ!! ..เฮ้อ นึกว่าจะจบแล้ว แต่ก็ยังไม่จบอีก ....นึกว่าเรื่องหนามตำใจน่าจะจบในตอนที่ 8 แต่ก็ยังไม่จบจนได้สิ
นึกถึงคำพูดของพระป่าหลายคำ หรือว่าจะเป็นจริง
แต่ก่อน สามีเคยรักลูกปานดวงใจ แต่ตอนนี้ บอกว่าจะไม่เอาลูกแล้ว เมื่อเมียหลวงไปที่บ้าน ไปบอกแม่ของสามีว่าจะฟ้องหย่าแล้ว เมื่อแม่ของสามีรู้ความจริง ก็สั่งห้ามไม่ให้พาเมียน้อยเข้าบ้าน และอยากให้เลิกกัน แต่สามีก็ไปอยู่กับเมียน้อย วันเสาร์-อาทิตย์ แทนที่จะกลับบ้านแม่ ก็ไม่กลับ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม... หรือเป็นผลจากคุณไสย!!
เมียหลวงนั่งคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา เธอมักจะพูดกับสามีหลายครั้งเมื่อจับได้ว่า สามีมีผู้หญิงคนอื่น ขอหย่าๆๆๆๆๆ แต่สามีไม่เคยพูดเรื่องหย่าเลยสักครั้ง มีแต่เธอขอหย่้าฝ่ายเดียว หลายครั้งที่เธอตั้งคำถามกับตัวเองและลองถามเพื่อนๆว่า เธอทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า แต่เื่่มื่อนึกถึงสิ่งที่เมียน้อยท้าทาย ส่งรูปมาให้ดู ใครจะทนเจ็บปวดอยู่ได้
นึกถึงคำของพระป่าอีกครั้ง ญาติของฝ่ายเมียน้อย ทำคุณไสย ผูกดวงของสามี พระป่าบอกว่า แรกๆ เมียน้อยไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมที่จะทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นบอก โดยเลิกกับแฟนเก่า มาคบกับสามีของเธอ ..... มิน่า สามีของเธอถึงติด หลงไหลเมียน้อยเหลือเกิน หลงนานมากกว่าผู้หญิงคนอื่นที่เคยติดพัน
เมียหลวงพยายามทำใจปล่อยวางหลายครั้ง ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสามี อยากจะทำอะไรก็ตามสบาย แต่ลึกๆ ก็ยังแอบนึกถึงสามีอยู่ ยังรู้ข่าวของสามีอยู่ตลอด ใจหนึ่งเจ็บปวด ใจหนึ่งยังแอบนึกถึง
วันเวลาผ่านไป หนามตำใจนี้ มันถอนไม่ออกซะแล้ว ยิ่งนานยิ่งปักลึก คิดว่าเรื่องมันน่าจะจบแล้ว แต่ก็ยังไม่จบง่ายๆ......
.....แผลรักยังถูกยื้อต่อไป....
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554
หนามตำใจ 9 - คำเตือนของพระป่ากับคุณไสยจากเมียน้อย
(ต่อจาก หนามตำใจ8) หลังจากที่เมียหลวงตัดสินใจเดินหน้าจะฟ้องหย่า ให้ทนายทำเรื่องเตรียมยื่นฟ้องเมียน้อยด้วย แล้วได้มอบหมายให้ทนายความไปที่สำนักงานที่สามีทำงานอยู่ ไปติดต่อกับผู้บังคับบัญชาในสำนักงานนั้น แจ้งรายละเีอียดเรื่องนี้ให้รับรู้และจะให้เป็นพยานด้วย แล้วเมียหลวงก็รอฟังผลจากทนาย ส่วนเธอก็ทำงานไปตามปกติ
เมื่อความเครียดเข้าครอบงำงอีกครั้ง เมียหลวงจึงตัดสินใจไปทำบุญ สงบจิตใจ โดยเลือกไปที่วัดป่าแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึง ได้เข้าไปกราบพระสงฆ์รูปหนึ่ง และจะทำบุญกับท่าน พระมองหน้าแวบหนึ่ง แล้วบอกให้เธอไปเก็บดอกไม้ขึ้นมา
หลังจากที่เมียหลวงไปเก็บดอกไม้ขึ้นมาแล้ว ครู่หนึ่ง พระป่าก็ทักขึ้นมาว่า หน้าตาของเธอดูไม่ดีเลย กำลังเกิดปัญหาครอบครัว แล้วพูดรายละเอียดที่เกิดขึ้น พูดถึงลูก2 คนของเธอ และปัญหาที่กำลังเจอ และบอกว่า ดวงคู่ครองของเธอ กำลังดวงตก อยากรู้รายละเอียดก็ถามมาได้เลยนะ
เมียหลวงถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ เธอยังไม่ได้พูดสักคำ แต่พระป่าก็พูดเ่รื่องราวของเธอ เหมือนกับรู้เรื่องของเธอมาก่อน เมื่อท่านถามว่า อยากรู้เพิ่มเติมไหม จึงรีบตอบไปว่า อยากรู้ค่ะ แม้จะไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องแบบนี้มากนัก พระป่าจึงบอกว่า
"แฟนโดนผูกดวง มีญาติของผู้หญิงคนนั้น 3-4 คน เอาดวงของแฟนเธอไปผูกไว้ 4 ที่ แม้ดวงของแฟนเธอจะแข็ง ต้องไปผูกดวงถึงแห่งที่ 4 จึงสำเร็จ " แล้วพระป่าก็บอกสถานที่ทั้ง 4 ให้เธอรู้
สถานที่ 2 แห่ง อยู่ใกล้บ้านแม่ของเมียหลวง ในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งการผูกดวงด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์นี้ ทุก 45 วนจะต้องสวดใหม่เพื่อให้ดวงอยู่ แม้จะฟ้องหย่าได้ แ่ต่แฟนจะไม่ไปไหน จะวนเวียนมาหาตลอดไป
เรื่องไสยศาสตร์ คนรุ่นใหม่อย่างเีมียหลวงไม่เคยเชื่อมาก่อน เธอเชื่อในวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์กันด้วยหลักฐานที่ชัดเจน เมื่อได้ยินเรื่องไสยศาสตร์ เธอไม่เชื่อทันที แต่ก็ฟังสิ่งที่พระป่าพูด
"เรื่องคดีความที่จะฟ้องหย่า เมื่อขึ้นศาลแ้ล้ว
1. เื่รื่องสินสมรสจะได้นะ แต่ได้ไม่เยอะ
2. เรื่องคดีความ สู้ไปก็ไม่ชนะ เพราะบารมีของแฟนมีมากกว่า
3. แม้จะหย่ากัน สามีก็จะมาหาตลอด และไม่มีโอกาสที่จะมีแฟนใหม่
4. เรื่องคดีความ ที่ต้องสู้ในศาล จะต้องสู้ถึงขั้นอุทธรณ์
5. แม้จะพยายามหย่า แต่จะเกิดปัญหากับสิ่งที่ทั้งคู่รัก"
เมียหลวงได้ฟังคำทักของพระป่าแล้วอึ้ง นึกว่าฟ้องหย่าแล้วจะชนะง่ายๆ แบบนี้ไม่ง่ายซะแล้ว สู้ก็ไม่ชนะ ไม่มีโอกาสมีแฟนใหม่ แล้วจะเกิดปัญหากับสิ่งที่ทั้งคู่ัรัก เธอคิดถึงลูกขึ้นทันที ทั้งเขาและเธอต่างรักลูก
พระป่ายังบอกอีกว่า ถือซะว่าเป็นกรรมเ่ก่าของสามี ส่วนเมียหลวงจะช่วยเหลือหรือจะอยู่เฉยๆก็ได้
"ก่อนหน้านี้ โยมหย่ากันมานานแล้ว (แยกบ้าน) ไม่ต้องไปยุ่งแบบนี้ ก็จะได้ทุกอย่างแล้ว ยิ่งไปทำเรื่องคดีความ ยิ่งจะไม่ได้.. ตอนนี้จิตใจร้อนรุ่ม ควรทำจิตให้เย็น ปฏิบัติตนในศีลธรรม เย็นเอาไว้ อย่าร้อน"
"ถ้าไม่อยากเสียลูก ให้รอจนลูกคนเล็กพูดได้ ลูกจะบอกเองว่า หนูจะอยู่กับแม่ ญาติๆฝ่ายสามีจะยอมให้ลูกมาอยู่เอง ส่วนสามีที่เจอคุณไสย ถือเป็นกรรมเก่า บุญเก่าของเขา โยมจะทำบุญสังฆทาน แก้ไขกรรมเก่าให้เขาก็ได้ หรือจะไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าอยากได้เขาคืนมา ก็ไปถอนมนต์ทั้ง 4 ที่"
เมื่อเมียหลวงออกจากวัดป่า เธอสับสน บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เธอไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ภายในใจจึงต่อต้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่เหตุการณ์ในชีวิตที่พระป่าพูดมา ตรงกับเธอทุกเรื่อง แล้วพระป่ารู้ได้ยังไง รู้เรื่องคดีความ เตือนว่า บารมีของสามี มีมากกว่าเธอ แถมสู้ไปก็ไม่ชนะ
น่าคิดเหมือนกัน เพราะสามี มีเพื่อนเป็นทนายความ 2 คน กำลังดูหลักฐานหาืทางสู้คดีช่วยเพื่อน เป็นไปได้เช่นกันที่ ทนายความทั้ง 2 คนจะทำคดีให้สามี ชนะเธอ
เมียหลวงสับสนพอสมควร ใจหนึ่งไม่อยากจะยุ่งกับสามีอีกแล้ว พยายามปล่อยวางแล้ว แต่ข้างในใจกลับร้อนรุ่มดังไฟเผา ...หนามตำใจ
ไม่เคยเชื่่อเรื่องไสยศาสตร์ เลยโทรถามพี่ชายคนที่ไว้ใจ ถามว่า เชื่อเรื่องนี้ไหม เขาบอกว่า ให้ฟังหูไว้หูละกัน แต่สังคมไทยในชนบท เรื่องนี้ยังมีอยู่ การผูกดวงทำคุณไสยอย่างนี้ คุ้มเหมือนกัน ถ้าได้สามีของเธอไป ทำงานมีฐานะมั่นคง ก็สามารถเลี้ยงดู ให้เงินเมียน้อยได้ สังคมไทยยังเชื่อเรื่องแบบนี้อีกเยอะ อย่างข่าวคราวของ อาจารย์หนู กันภัยนั่นไง
มีหลายสิ่งลี้ลับที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ก็เกิดขึ้นจริง
เมื่อเมียหลวงออกจากวัดป่า ก็ไปยังสถานที่ 4 ที่ ที่พระป่าบอก ซึ่งสถานที่นั้น ก็มีจริงๆ 2 แห่งอยู่ใกล้ๆบ้านเธอ เมื่อแวะไปที่หนึ่ง ได้สอบถามคนที่อยู่แถวนั้น เขาบอกว่า มีคนมาผูกดวงที่นี่จริงๆ ถ้าเธอต้องการให้แก้ไขให้ก็สามารถทำได้ แต่ต้องจ่ายเงินแพงหน่อย เมียหลวงคิดหนักเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่เขาคนนั้นเรียก เลยยังตัดสินใจไม่ทำ เก็บเงินไว้เป็นค่านมของลูกจะดีกว่า
ทีแรกไม่เชื่อ แ่ต่เมื่อผ่านไปหลายชั่วโมง เธอยิ่งคิดหนัก คำพูดของพระป่า เป็นจริงหลายอย่าง เธอยิ่งคิดหนักเมื่อพระป่าบอกว่า สู้ไปก็ไม่ชนะง่ายๆ....
แต่เมียหลวงได้ส่งทนายความไปยังที่ทำงานของสามีแล้ว รอฟังผลดีกว่า จะมีอุปสรรคอะไรอีกไหม??
หนามตำใจ มันปักลึกจริงๆ
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554
จันทร์พันดาว 13 มิ.ย.2554 คณแม่ยอดดวงใจ Vs คุณพ่อสุดประเสริฐ
5 ทุ่มวันจันทร์ หลายคนรอดูรายการทีวีของคนสู้ชีวิต "จันทร์พันดาว โจ๊ะพรึมพรึม" ทางช่อง 7 สี ซึ่งในวันจันทร์ที่ 13 มิ.ย.2554 มีพ่อ- แม่ มาร้องเพลง เพื่อความหวังช่วยเ้หลือลูก ที่กำลังป่วยอยู่
นั่งดู VTR ที่ถ่ายทำเรื่องราวในชีวิตจริง ให้เ็ห็นความทุกข์ยากลำบาก ความอดทน ความเป็นนักสู้แล้ว รายการแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างกระแสวูบวาบเหมือนกับรายการประกวดร้องเพลงรายการอื่น ที่เตี้ยมข้อมูลขึ้นมา แต่รายการจันทร์พันดาว ทุกอย่างส่งอารมณ์ เรื่องราวในชีวิตที่มีคุณค่าอยู่แล้ว เป็นกำลังใจให้กับคนดูอีกด้วย
พูดถึงผู้เข้าแข่งขันร้องเพลงคนแรก "คุณแม่ยอดดวงใจ" สุชานาฏ ปุริสมา อาชีพขายน้ำเต้าหู้+ปาท่องโก๋ ที่สุพรรณบุรี เวลาทำงานต้องตื่นตอนตี 1 มาเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ พอตี 2 ก็ลากรถออกไปขาย จากตี 2 ถึง 2 โมงเช้าเลยทีเดียว... เหมือนกับแม่ค้าขายปาท่องโก๋ที่ตลาดกาฬสินธุ์ เห็นเข็นรถมาเตรียมขายตั้งแต่ตี 1 เช่นกัน
เมื่อขายถึงสองโมงเช้าแล้ว ก็กลับมาที่บ้าน เก็บล้างอุปกรณ์ จาน ชาม และเตรียมของไว้สำหรับขายในวันต่อไป นอนตอน 3 ทุ่ม ตื่นตี 1 นอนเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น มีลูกสาวคือ "น้องเปิ้ล" อายุ 30 เศษๆ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว หอบหืด ไขข้อเสื่อม (รูมาตอยด์) ซึ่งเปิ้ลจะปวดทุกข้อต่อในร่างกาย ถ้ากินยามากๆ กระเพาะก็รั่วอีก ดูสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่หัวใจสู้ ไม่ท้อถอย เหมือนผู้เป็นแม่ ดูใน Video นี้ละกัน
"ถ้าตัวเองตายไปลูกจะอยู่ยังไง ก็เป็นห่วง เพราะเค้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้่มาก"
"อยากจะบอกว่า แม่รักลูก อะไรที่ทำใหู้ลูกได้แม่ก็จะทำทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหน เพราะัมันก็เป็นความผิดของแม่ที่มีลูกไม่แข็งแรง กระทั่งเรียน ลูกก็ไม่ได้เรียน ทั้งที่เขาเป็นคนปัญญาดี หัวดี เคยสอบได้ที่ 1 ตลอด"
"ขอบคุณที่แม่ดูแลมาตลอด 30 ปี ทำทุกอย่างให้ตลอด"
"ถ้าวันหนึ่งแม่ไม่อยู่ คนเป็นแม่ยิ่งห่วงนัก ถ้าเราอยู่ยังดูแลได้ทุกอย่าง แ่ต่ถ้าเราไม่อยู่ เขาจะอยู่ยังไง เพราะตอนนี้เมื่อเขาปวดขาเมื่อไหร่ เราก็ช่วยเขาเหยียบ เขานวด ช่วยกันเหยียบ วันนี้หนูปวดหนูเดินไม่ได้ แม่เหยียบให้หนูหน่อยนะ บอก เออ...ได้ ก็เหยียบให้ ถ้าบอก หนูเจ็บนะ เราก็จะหยุด ..."
"เขาเป็นขนาดนี้ เรายังต้องทำงาน แต่เขาน่ะใจสู้ เราบอกว่า มันไม่ไหวหยุดเถอะลูก... ไม่หยุด บอกกะแม่ ภาระเราเยอะ ไปเถอะ ถ้าไปไหวก็ยังไป วันไหนที่ไปไม่ได้ก็หยุด "
"แม่ทั้งรักทั้งห่วงไม่ว่าจะลำบากยากเข็ญยังไง แ่้ม่ก็คงต้องเลี้ยงลูกจนชีวิตจะหาไม่ แต่แม่อยากให้ลูกมีชีวิตที่เหมือนคนอื่นเขาบ้าง แม่ถึงได้มาวันนี้.."
มาถึงผู้เข้าแข่งขันคนที่ 2 คุณ บุญชู จันทหาร คุณพ่อสุดประเสริฐ พนักงานส่งออกที่สุวรรณภูมิ มีลูกสาวคือ น้องลูกหมู เป็นเด็กดาวน์ซินโดรม แต่ผู้เป็นพ่อไม่เคยอาย
"ผมไม่เคยเีสียใจที่มีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม ยังไงเค้าก็เกิดมาเป็นลูกของเรา ก็ต้องรัก ดูแลเค้าตลอดไป ตลอดชีวิตครับ ช่วยเหลือตัวเอง ทำงานบ้านได้ พาไปไหนด้วย ไม่มีคำว่าอายครับ"
"ในเมื่อเค้าเป็นลูกของเรา จะมายังไง แบบไหน ในสภาพแบบไหน เราก็ต้องยอมรับว่าเป็นลูกของเรา ก็ต้องยอมรับได้ ต้องต่อสู้เพื่อลูกให้ได้นะครับ คนเราทุกคนเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกทางเิดินที่ดีได้
ฟังคำพูดอื่นๆนอกจากที่ยกมานี้ จากใน Video นี้ละกัน
การร้องเพลงในรายการในวันนั้น คุณสุชานาฏ ร้องเพลง พี่ไปดู หนูไปด้วย ส่วนคุณบุญชู ร้องเพลง บอกรักฝากใจ สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพ ร้องได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่า ดีแล้ว เป็นการร้องออกมาจากใจ ส่วนลูกของนักสู้ทั้งสองคน แม้ไม่แข็งแรง แต่มีความสดใสน่ารักเป็นธรรมชาติ มีหัวใจนักสู้อยู่ในตัวเองเช่นกัน
เห็นหลายคนที่ีมีความพร้อม สมบูรณ์ สุขสบายกว่า เมื่อเจออะไรนิดหน่อยก็ท้อแท้ ใจเสาะ สิ้นหวังซะแล้ว ถ้าได้เห็นคนที่ทุกข์ยากลำบากกว่า คงจะเปลี่ยนความคิดได้บ้างล่ะ
รักแท้ของพ่อแม่นั้น ยิ่งใหญ่จริงๆ จาก VTR ที่เอามาให้ชมนี้ นำเสนอได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ตามข้อจำกัดของเวลาในการนำเสนอ แต่ชีวิตจริง ลำบาก ลำเค็ญมากกว่าที่เห็น แต่ก็ต้องต่อสู้ต่อไป
การแข่งขันในรายการ มีการโหวตให้คะแนนจากผู้ชมในห้องส่ง 100 คน เกือบ 60 คนโหวตให้ คุณสุชานาฎ และเกือบ 40 คน โหวตให้คุณบูญชู อันนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนว่าจะโหวตให้กับใคร เมื่อต้่องเลือก 1 ใน 2 คนนี้ แต่ทั้งคู่ต่างเป็นพ่อ-แม่ ที่รักลูกมากมาย ไม่ยอมแพ้ชีวิตและโชคชะตาที่เกิดขึ้น
ขอให้มีความสุข ผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบาก ให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆนะครับ สำหรับครอบครัวทั้ง 2
ส่งท้ายด้วย VTR ตัวอย่างรายการจันทร์พันดาว ในวันที่ 20 มิ.ย.2554
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คุณค่าของหนามตำใจ บันทึกชีวิตเน่าๆที่ตรงกับเสี้ยวชีวิตของคนอ่าน
บันทึกเรื่องเน่าๆ บัดซบที่หลายคนบอกไว้ น่าแปลกที่ชีวิตของอีกหลายคน ต้องเจอเรื่องบัดซบ เรื่องเน่าๆในนชีวิตครอบครัวแบบเรื่อง หนามตำใจนี้
แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากให้ชีวิตเป็นแบบนี้ หรือ มีส่วนที่คล้ายบางตอนบางเสี้ยวของเรื่องหนามตำใจ แต่คู่สมรสนั่นหละ จะเป็นคนทำให้เิกิดเรื่องเน่าๆในชีวิตคู่หรือไม่ ต้องถามคนนั้นล่ะ
มีคนที่อ่านแล้ว ต้องลุ้นตาม บางคนรู้แล้วว่า เมียหลวง เมียน้อย และสามี คนที่ว่ามา เป็นใครใน facebook อยู่ที่ไหน แต่หลายคนก็ยังไม่รู้
มีคนหนึ่งบอกว่า ทำไมเรื่องนี้หนักจัง เมื่อหันมามองชีวิตของตัวเองเปรียบเทียบดูแล้ว ก็ไม่ได้แย่ บัดซบถึงขนาดนี้ ทำให้มีกำลังใจต่อสู้กับชีวิตครอบครัวเน่าๆของตัวเองต่อไป
อีกคนเจอปัญหาครอบครัว แต่เล็กกว่าเรื่องหนามตำใจ เมื่ออ่านเรื่องราวที่เมียหลวงได้พบ เออ หนักกว่าชีวิตของตัวเอง เจอเรื่้องหนักๆแบบนั้น เมียหลวงยังสู้ แล้วคนอ่านอย่างเธอจะใจเสาะยอมแพ้ได้ยังไง ลูกผู้หญิงก็มีความเข้มแข็งเหมือนกันนะ
บางคนอ่านแล้ว พูดไม่ออก โนคอมเม้นต์ แต่เกิดแรงฮึด มีกำลังใจที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม
ใครบางคนได้เห็น ได้บางสิ่งบางอย่างจากเรื่องเน่าๆ เห็นเื่รื่องน้ำเน่าแล้ว เกิดความคิดใหม่ๆในชีวิตขึ้นมา ก็ถือได้ว่า เป็นคนที่คิดเป็น แต่สำหรับอีกหลายคน เรื่องน้ำเน่าก็ถือว่า มันน้ำเน่า ไม่สนใจใส่ใจกับเรื่องเ่น่าๆแบบนี้
ไ่ม่ว่าจะหนามต้นงิ้ว หนามกุหลาบ หนามในใจ หนามไมยราบ หนามทุเรียน หนามตำแย ฯลฯ จะมีค่าหรือไร้ค่า ก็ขึ้นกับสายตาของคนที่มอง...
อินเตอร์เนตกับคุณค่าที่ต่างกัน
อินเตอร์เนตในสายตาที่แตกต่างกันของสองด้านที่ตรงกันข้าม
คนกลุ่มหนึ่งใช้อินเตอร์เนตเพื่อการสื่อสาร โวยวาย ระบายความรู้สึก พูดคุย ติดต่อกับผู้คนมากมาย แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งใช้เพื่อเผยแพร่ผลงาน ให้คนหันมาสนใจมากขึ้น จากในโลกของความเป็นจริง ไม่ได้รับความสนใจมากนัก
คนกลุ่มหนึ่งหวาดกลัวอินเตอร์เนต เมื่อเห็นข้อมูลของตนเองอยู่ในผลการค้นหาของ google ยิ่งมีความรู้สูงระดับปริญญา ยิ่งหวาดกลัว วิตกกังวลมากขึ้น แต่คนอีกกลุ่มหนึ่ง เพียรพยายามให้ข้อมูลของตน ปรากฏในผลการค้นหาของ google ให้มากที่สุด ยิ่งมากยิ่งดี ซึ่งคนกลุ่มนี้ มีระดับการศึกษาน้อยกว่าคนกลุ่มแรก หรือพอๆกับคนกลุ่มแรก
คนกลุ่มหนึ่งพยายามมีอิทธิพลเหนืออินเตอร์เนต ควบคุมและใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุด แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับตกเป็นทาสของอินเตอร์เนต ถ้าไม่ได้เล่น ไม่ได้ใช้ ไม่ได้เข้าหน้าจอ อินเตอร์เนตเสีย จะหงุดหงิดแทบจะอยู่ไ่ม่ได้เลย ดูเหมือนจะถูกอินเตอร์เนตเข้ามาควบคุมวิถีชีวิตแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งชีวิตขาดอินเตอร์เนตไม่ได้เลย ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่คนอีกกลุ่มนั้น อินเตอร์เนตแทบไม่ต่างจากกุญแจรถ จะหยิบมาใช้เมื่อต้องการ หรือถึงคราวจำเป็นต้องใช้มัน เมื่อไม่ต้องใช้ ก็ไปทำอย่างอื่น
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ห้องสมุดเคลื่อนที่ของ กศน.ที่ บขส.จันทบุรี
10 มิ.ย. 2554 มาึถึงจันทบุรี ตอน 20.00 น. แต่คุณลุงออกมารับตอน 21.30 น. เพราะติดธุระเลยมารับช้า และวันที่เดินทางกลับ มานั่งรถรถตั้งแ่่ต่ 18.00 น. รอขึ้นรถตอน 20.00 น. รอนาน1-2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เวลาว่างๆแบบนี้ ไม่น่าเบื่อเลย เพราะมีหนังสือให้อ่าน โดย กศน.จันทบุรี ร่วมกับเทศบาลเมืองจันทบุรี และสถานีขนส่ง จัดทำที่อ่านหนังสือสำหรับผู้ที่มารับบริการ บขส. หรือ ห้องสมุดเคลื่อนที่ อย่างที่ป้ายหนึ่งเขียนไว้ดังภาพ
หยิบหนังสือมานั่งอ่าน มีแต่หนังสือที่น่าอ่าน เป็นนิตยสารใหม่ทั้งนั้น มีตั้งแต่สารคดี, อัพเดท, หญิงไทย, นิตยสารคอมพิวเตอร์ ฯลฯ วางไว้ 2 มุม ผู้มารอรถหลายคน มาหยิบไปนั่งอ่านรอรถ นายบอนก็หยิบหนังสือสารคดี มาดูรูป อ่านบทความอย่างเพลิดเพลิน แบบนี้ไม่ต้องซื้อนิตยสารแล้วล่ะ
นั่งอ่านจนเพลิน จนรถมาจอด ยังอ่านไม่จบ จนอยากจะรอขึ้นรถเที่ยวต่อไปด้วยซ้ำ ถือว่า บขส.จันท์ทำได้ดีทีเดียว บขส.ที่อื่นไม่เห็นแบบนี้ ทั้งโคราช, กาฬสินธุ์, มหาสารคาม, ชลบุรี ระยอง ฯลฯ แต่ที่ บขส ร้อยเอ็ด มีตู้หนังสือแบบนี้ไว้เหมือนกัน แต่หนังสือไม่น่าอ่าน เป็นจดหมายข่าว หรือหนังสือของทางราชการ ไ่ม่น่าสนใจมากนัก
มีหลายคนมานั่งอ่านหนังสือรอรถหลายคน โดยเฉพาะสาวๆน่าตาน่ารัก ที่มารอขึ้นรถไปที่อื่นด้วย
บขส.จันทบุรี ทำได้ดีมากๆ
บันทึกการเดินทาง 10-11 มิ.ย.2554 -กาฬสินธุ์-โคราช-จันทบุรี
ภาพที่เห็นคือ รถโดยสาร ป.2 ขอนแก่น-วังสามหมอ มาจอกที่คิวนอกอย่างหมดท่า นั่งรถมานาน รถมาแก๊สหมดกลางทางเฉยเลย ดีนะที่ไม่ไปหมดนอกเมือง กลางป่า ผ่านปั๊มก้ไม่แวะเติมเหมือนรถคันอื่นๆของ สหมิตรภาพ ผู้โดยสารหลายคนที่ลงจากรถ ก็ต่อรถสองแถวสีเหลือง สาย 2 สาย 3 ที่วิ่งผ่านมาแถวนั้น ไปลงปรับอากาศ และ บขส. แต่ผู้โดยสารบางส่วนยังยืนรออยู่ เพราะคนเก็บตั๋วบอกว่าให้รอขึ้นรถคันหลัง แต่กว่าจะมาก็คงอีกนาน เลยโบกรถสองแถว 6 ล้อ ขอนแก่น-น้ำพอง ให้ผู้โดยสารที่ตกค้าง ไปลง บขส.ขอนแก่น นายบอนเลยได้ติดรถไปด้วย ไม่ต้องเสียค่าโดยสาร
เป็นรถสองแุถวโดยสาร ขอนแก่น น้ำพอง สาย 4175-13 ซึ่งไม่ได้ขึ้นรถสองแถวแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซึ่งเป็นรถที่กว้าง บรรทุกคน ถุงปุ๋ย และสินค้าได้เยอะมากๆ ดีกว่า รถโดยสารทั่วไปที่ใส่เบาะที่นั่ง จนไม่มีพื้นที่ให้ยืน หรือใส่สิ่งของได้มากเหมือนรถแบบนี้ ซึ่งรถสองแถวบรรทุก 6 ล้อแบบนี้ นั่งสบาย ขนของได้มาก เป็นรถโดยสารของชาวบ้านที่เอารถบรรทุก 6 ล้อมาทำ นั่งแล้วคิดถึงวันเก่าๆสมัยเรียนมัธยมที่นั่งรถแบบนี้ไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านนอกเมือง ไปกินข้าวปุ้น ส้มตำที่บ้านของเพื่อน แป๊บเดียวก็มาถึง บขส.ขอนแก่น ความจริงแล้วไม่ได้นั่งหรอก ยืนเกาะที่ตรงบันได เพราะมีคนนั่งเต็มที่นั่งหมดแล้ว
มาถึง บขส.ขอนแก่น แล้วก็ซื้อตั๋วไปลงโคราช มีรถออกทุกครึ่งชั่วโมง มาถึงตอนไหน ก็ไม่รอนาน วิ่งเร็ว มาถึงโคราชตอน 13.20 น. ไปดูที่ขายตั๋วรถไปจันทบุรี มีเที่ยวที่ออกจากโคราช 11.45 น. 13.00 น. 14.15 น. 15.30 น. 17.30 น. ซึ่งจะผ่านเส้นทาง ปักธงชัย-วังน้ำเขียว-กบินทร์บุรี-สระแก้ว-เขาฉกรรจ์-วังน้ำเย็น-วังสมบูรณ์-สอยดาวโป่งน้ำร้อน- มะขาม- จันทบุรี บางคิวจะวิ่งไปถึงตราด-แหลมงอบด้วย
เมื่อมีเวลาเลยรีบไปกินข้าว แล้วมาซื้อตั๋วขึ้นรถตั้งแต่ 14.00 น. รถออกตอน 14.15 น. นั่งกับ เจ้าหน้าที่ ตชด. พอรถออกก็จะงีบยาว เพราะเมื่อคืนนอนตี 3 มัวแต่ฆ่าไวรัส และวุ่นกับคอมพิวเตอร์อยู่นาน หลับตาไปซักพัก คนเก็บตั๋วซึ่งเป็นผู้หญิงประจำรถคันนี้ คอยดูแลผู้โดยสารอย่างดีมากๆ ก็เข้ามาปรับเบาะเอนหลังให้ แล้วเินปิดม่านบังแดดให้ผู้โดยสารทุึกคนที่อยู่ฝั่งที่แดดส่อง พอรถแล่นถึงวังนำ้เขียว มีผู้โดยสารลง เธอก็มาบอกนายบอนว่า ข้างหลังมีเบาะว่าง แนะนำให้ไปนั่งข้างหลังจะได้นั่งสบาย เห็นขายาวๆอยู่ เลยย้ายไปนั่ง ไปนั่งก็เกือบหลับไปเหมือนกัน แต่เบาะหน้าเป็นสองแม่ลูก ที่ลูกแสนซน และดื้อตามประสาเด็กๆ
รถวิ่งมาถึงกบินทร์บุรี 16.15 น. รับผู้โดยสาร ทั้งนักเรียนและคนที่พึ่งเลิกงานขึ้นมา วิ่งมาถึงสระแก้ว 16.50 น. ซึ่งตรงนี้จอดนานมากๆ คงเพราะรอผู้โดยสารขึ้นรถ และเป็นเย็นวันศุกร์อีกด้วย คนขับบอกว่าจะจอด 15 นาีที แต่จริงๆแล้ว ปาเข้าไปเกือบ 40 นาที รอรับผู้โดยสารที่จะเดินทางกลับบ้านหลายคน มีสาวออฟฟิศคนหนึ่งซื้อของขึ้นมาบนรถหลายถุงหิ้วพะรุงพะรัง แต่สักพัก มีพระสงฆ์ขึ้นมา ไม่มีเบาะว่างเลย ทีแรกพระสงฆ์ท่านบอกว่า ยืนก็ได้้โยมไม่เป็นไร แต่คนเก็บตั๋วก็จัดการให้ ให้สาวออฟฟิศไปนั่งเบาะหน้าที่แม่ลูกอ่อนนั่งอยู่ทั้ง 2 เบาะ แล้วเชิญพระสงฆ์มานั่งข้างนายบอนแทน ตอนจ่ายเงิน ท่านก็เสียบเงิน 40 บาทที่เบาะเก็บของ ให้คนเก็บตั๋วหยิบเงินอย่างสะดวก
รถออกจาก บขส. แวะเติมน้ำมัน แล้วแวะรับผู้โดยสารที่โบกรถข้างทาง ดูแล้ว นี่มันรถ ป.1 แ่ต่จอดตลอดเหมือนรถ ป.2 แต่ไม่เป็นไร ทางเดียวกัน ไปด้วยกันได้ ที่จริงน่าจะเป็นรถ ป.2 จะได้เก็บค่าโดยสารได้ถูกลงกว่านี้หน่อย จากสระแก้วถึงวังน้ำเย็นรถจอดบ่อยเพราะมีผู้โดยสารลงหลายจุด แสงตะวันก็ค่ำลง วิวข้างทางสวยมากๆ มาถึงเขตอำเภอวังสมบูรณ์-สอยดาว ก็เริ่มมืดค่ำแล้ว มาถึงจันทบุรี 20.00 น. เห็นรถจันทบุรีไป โคราช ออกตอน 20.00 น. ก็คงจะได้กลับรถเที่ยวนี้ในวันพรุ่งนี้ พอถึง บขส. ก็รถลุงสุเวศน์ออกมารับ
รถออกตอน 20.10 น. แวะจอดเรื่อยๆ โชว์เฟอร์เปิดเพลงฮิตเก่าๆ อย่าง หมากเกมนี้ -อินคา, เธอปันใจ -อัสนี คงจะเปิดจากแผ่น mp3 เปิดให้ฟังเพลินไปเรื่อยๆ 21.00 น. วิ่งมาถึงแค่ อ.โป่งน้ำร้อน แวะเติมน้ำมันดีเซลที่ปั้ม มองดูที่จุดเติม...เติมน้ำมันไป 5,000 บาท แล้วก็วิ่งออกมา จอดส่งคนตามตัวอำเภอ มาึถึงสระแก้วตอน 23.00 น. 23.35 น.ไปจอดที่ บขส.กบินทร์บุรี จอดพักนาน 15 นาที เลยเดินลงมาขยับแข้งขาีข้างล่าง ผ่านสาวนุ่มสั้น แต่งชุดดำเข้มที่นั่งหน้า ทีแรกตอนขึ้นรถว่าจะไปนั่งด้วยซะหน่อย แต่เธอวางกระเป๋าที่เบาะข้างตัว เลยนั่งด้วยไม่้ได้ ถ้าไปนั่งด้วย เธอคงเหม็นสาบเพราะเราไม่ได้อาบน้ำ
ออกจากกบินทร์ วิ่งขึ้นเขาปัก ก็หลับไป มาตื่นอีกที ตอนถึงโคราช 1.45 น. ลงมาว่า จะงีบจนเช้า แต่เห็นรถโดยสารที่วิ่งเข้า มีทั้งไปขอนแก่น - สารคามตั้งหลายคัน วิ่งอีก 3 ชั่วโมง ไปถึงสว่างพอดี ต่อรถไปกาฬสินธุ์ได้เลย แต่นั่งสักพัก รถร่วม บขส. กทม-กาฬสินธุ์ก็วิ่งเข้ามาตอน 2.15 น. มองดูมีที่นั่งว่างเบาะหลังสุด เออ ไปคันนี้แหละ ไม่ต้องนั่งรอที่โคราชจนเช้าก้ได้
คนขายตั๋วของรถคันนี้ เดินมาถามพอดีว่าจะไปลงไหน พอบอกไปลงกาฬสินธุ์ เขาก็ชี้ไปทีี่รถบอก โน่นเลย จ่ายค่ารถไป 150 บาท ขึ้นไปนั่งโน่นในสุดเลย รอเวลารถออก
2.25 น. คนขับรถขึ้นมาบอกว่า ให้ผู้โดยสารลงไปเข้าห้องน้ำ รถจะไม่แวะจอดที่ร้านอาหารแล้วนะ
คนขับเว้าสำเนียงอีสาน บอกว่า รถคันที่ออกไปแล้ว โทรมาบอกที่สถานีว่า มีรถชนกัน รถติดยาว ไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางกี่โมง เลยให้ผู้โดยสารลงไปเข้าห้องน้ำกันก่อนดีกว่า
คนทยอยลงจากรถ แล้วรีบกลับขึ้นมา รถออกจากโคราชตอน 2.45 น. วิ่งออกมาถึง กม.ที่ 15 ตอน 3.05 น. เจอรถติดยาว เต็ม 2 เลนถนนมิตรภาพทางไปขอนแก่น รถค่อยๆขยับๆๆๆ คนขับก็มองว่า เลนขวาน่าจะติด เกิดอุับัติเหตุเลนนี้ เลยบีบแตร ขอแทรกเข้าเลนซ้ายมั่ง พอเลนขวา รถเคลื่อนไหว ก็ขอแทรกเข้าขวา จนใกล้มาถึงจุดเกิดเหตุ ก็แทรกเข้าเลนซ้าย
ผ่านป้ายที่เห็นนี้มานิดหน่อย ก็เจอรถทัวร์ บขส.99 ถูกชนด้านท้ายจอดนิ่งอยู่ มีรถตำรวจเปิดไฟแดง จอดขวางไว้ และตำรวจยืนโบกรถให้สัญญาณ รถค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านไป พอผ่านมาได้ รถวิ่งฉิวเลย มาถึง บขส.เมืองพลตอน ตี 4.15 น
รถวิ่งมาเรื่อยๆจนสว่างที่กุดรัง-บรบือ ตอน 6 โมงเช้า วิ่งมาถึง ท่าขอนยาง หน้า ม.มหาสารคาม และมาถึง บขส.กาฬสินธุ์ตอน 6.45 น.
ความจริงคนขายตั๋ว ขายตั๋ววิ่งไปถึงสกลนคร มีหลายคนซื้อตั๋วไปลงในจุดที่เลยเมืองกาฬสินธุ์ คนขายตั๋วบนรถเลยบอกให้ไปต่อรถคันหน้า เอาตั๋วที่ซื้อไว้ ไปแสดงด้วย ไม่งั้นจะเสียเงินเพิ่มนะ หลายคนพึ่งตื่น หน้าตายังไม่อาบน้ำหลายคน เหมือนกับนายบอน เป็นสไตล์ของคนเดินทางชาวอีสาน ที่เดินทางด้วยรถ ป.2 แบบนี้ ได้บรรยากาศแบบลูกทุ่งอีกแบบหนึ่งถึงบ้าน 7 โมงเช้ากว่าๆ ได้พักผ่อนสบายๆในเช้าวันอาทิตย์
สาวขาแพลงผู้มากับกุ้งสดถุงใหญ่ มาเยี่ยมคุณลุงที่จันทบุรี
คืนวันพฤหัสบดีที่ 9 มิย. หลังจากที่เธอลงเวรบ่าย กลับบ้านตอนตี 2 ขับรถกลับมาึถึงบ้านที่บ้านบางปิด แหลมงอบ-ตราดตอนตี 3 เกิดพลาดท่า ตกบันได ขาเจ็บขาแพลง ถ้าต้องขับรถ ก็เหยียบคลัชท์ไม่สะดวก วันศุกร์เลยไม่ได้ไปขึ้นเีวรที่ รพ.ตราด ถือโอกาสลาซะเลย เพราะไม่มีคนไปรับ ส่งยามดึก
เสาร์ที่ 11 มิ.ย. เธอตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณลุงที่จันทบุรี ตอนแรกว่า จะนั่งรถตู้ออกมา แต่ได้น้องชาย ขับรถมารับ-ส่ง มาถึงบ้านแสลง หน้าบ้านคุณลุง เดินลงจากรถ กระเผลกเข้ามา ถือถุงกุ้งสดของฝาก แช่น้ำในถังใส่หลังรถกระบะที่นั่งมา เอามาฝากด้วย
ป้ากร หลังจากเก็บผลไม้ เดินเข้ามาในบ้าน เลยเอาถุงกุ้งไปทำอาหารมื้อเที่ยงให้ทาน แต่กินข้าวเที่ยงกันตอนบ่าย 2 โมง หลังจากคุณลุงดูถ่ายทอดการชกมวยไทยที่ช่อง 3 จบลง
กุ้งสดที่ว่า อยู่ในจานในถาดใหญ่ที่ใส่รองจาน ชาม ถ้วยน้ำพริก อย่างที่เห็นในวิดีโอ หลังจากทานไปสักพัก ก็เอาจานเปล่ามาให้ สาวขาแพลงก็แกะเปลือกกุ้งอย่างชำนาญ เพราะกินอาหารทะเลทุกวัน ทำอาหารทานทุกวัน แต่เสียดาย วันนั้นไม่ได้โชว์ฝีมือทำอาหารเลย
ดูท่าทานข้าวในวิดีโอ ท่าทางทานอร่อยมากๆ ฝีมือทำอาหารคงอร่อยไม่แพ้ท่ากิน
เจ็บขา ยังกะเผลกเดินทางมาพร้อมกุ้งจนได้ โอกาสดีๆ มีไม่บ่อย
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนแกะกุ้งให้กินอีก
หนามตำใจ 8 - เดินหน้า ปิดบัญชีรัก
เมื่อเมียหลวงสู้ บุึกบ้านเมียน้อยแล้ว วันเดียวกันนั้น ก็ขับรถมาที่บ้านย่า (แม่ของสามี) มาบอกว่าจะฟ้องหย่าแล้วนะ พร้อมบอกเหตุผล แม่ย่าจึงถามว่า ทำไมต้องโวยวาย และทำแบบนี้ด้วยล่ะ น่าจะอดทนให้มากๆหน่อยนะ
ดูท่าทางแล้ว แม่ย่าก็ยังคงเชื่อในตัวลูกชาย(สามีเธอ) คงคิดว่า เธอหาเรื่องโวยวาย อาละวาด ทั้งๆที่ไม่น่าจะทำแบบนี้ เหมือบกับการเห็นการมีเมียน้อยเป็นเรื่องปกติ
"แล้วย่าจะให้ต้องแบ่งเวลากันเหรอไง จันทร์ถึงศุกร์ อยู่กับเมียน้อย เสาร์ อาทิตย์อยู่กับเมียหลวง แบบนี้ไม่ไหว ถ้าเมียน้อยท้องขึ้นมา ก็ยุ่งอีก ก็คงต้องฟ้องหย่าตามที่บอกไว้"
เธอบอกเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว เพราะเหลือทนจริงๆ จึงบอกอีกครั้งว่าจะฟ้องหย่าอะไรบ้าง เมียน้อยมันท้าทาย ระรานจริงๆ แล้วเล่าใ้ห้ฟังว่า สามีกับเมียน้อยทำอะไรไว้บ้าง ย่าได้แต่นิ่งฟัง ไม่พูดอะไร
เธอบอกว่า จะเอาลูกคนโตกลับไปอยู่ด้วย ไม่อยากให้สามีกับเมียน้อยเป็นคนเลี้ยงลูกของเธอ ย่าก็ตามใจ ลุกไปช่วยเก็บเสื้อผ้าให้ ลูกชายก็ดีใจที่จะได้กลับบ้านมาอยู่กับแม่
ระหว่างออกจากบ้านย่า ผู้เป็นแม่ถามว่า ไม่ได้อยู่กับพ่อ ไม่สียใจเหรอ ลูกชายรีบตอบว่า ดีใจที่จะได้นอนกอดแม่มากกว่า อย่าให้ลูกกลับไปอยู่บ้านพ่อนะ ลูกเป็นผู้ชายจะช่วยแม่เลี้ยงน้องคนเล็ก แม่เป็นผู้หญิงคงเลี้ยงไม่ไหว... แหม ลูกชายเข้าใจพูดจริงๆ การที่เธอได้ลูกกลับมาอยู่ด้วยในตอนนี้ ถือว่าดีแล้ว
แต่ยังมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กับสามีอีก อยากให้สามี เอาิเงินส่งค่างวดให้หมด ปลดหนี้รถให้หมดไปเลย และให้ส่งเสียเงินค่าเลี้ยงดูบุตรในแต่ละเดือนตามจำนวนที่จะได้ตกลงกัน ซึ่งเธอจะไม่ติดใจเอาความกับเงินในบัญชีธนาคาร ที่เคยเปิดร่วมกัน 2 บัญชี แต่สามีถอนเงินทั้งหมดออกจากบัญชีแ้ล้ว ขอให้ส่งงวดรถให้หมดก็พอ และแบ่งสินสมรสตามกฎหมาย เท่านี้ทุกอย่างจบ
ถ้าตกลงตามที่บอกไป ก็โอเค ไม่ต้องฟ้องร้องคดีความมากมาย ให้ตัดสินใจเอง
ช่วงที่ไปบ้านแม่ของเมียน้อย ก็ยื่นข้อเรียกร้องไปแล้ว ให้ตัดสินใจภายในเวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 มิ.ย.54 ถ้าไม่ตกลงก็จะเดินหน้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตามตัวบทกฏหมาย แม้ว่า แม่ของเมียน้อยบอกว่า ไม่มีเงินหลายแสนที่จะจ่ายค่าเสียหาย แต่เธอตัดสินใจจะฟ้องเมียน้อย สามีคงจะหาเงินมาจ่ายให้
หลังจากนี้ ทนายจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ ต่อไป ให้คุยผ่านทนายความเป็นหลัก
เมื่อขับรถกลับบ้าน เธอรู้สึกดีใจที่ลูกกลับมาอยู่กับผู้เป็นแม่ ดูแล้ว เรื่องราวหนามตำใจ ใกล้จะจบลงแ้ล้วกระมัง ถ้าฝ่ายสามี และเมียน้อย ยอมตามข้อเสนอ แต่เธอก็รู้มาว่า เพื่อนของสามี 2 คน ที่เป็นทนายความ กำลังหาทางต่อสู้คดีให้้ เอารูปฉาวมานั่งดู คิดหาช่องทางช่วย เธอได้แต่แอบขำ ในเืมื่อภาพมันชัดเจนขนาดนั้น แล้วจะแก้ตัวยังไงล่ะ
ที่ผ่านมา เีมียหลวงและสามีใช้เงินกันคนละกระเป๋า เมียหลวงทำงานหารายได้พิเศษจากงานประจำ ได้เงินเพิ่ม และเป็นคนจ่ายทุกอย่างในบ้าน สามีจึงไม่ต้องจ่าย จึงมีเงินกิน เที่ยวกับเพื่อนๆอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อต้องแยกทางกันแล้ว ทุกอย่างสามีจะต้องจ่ายเอง ยังจะต้องดูแลส่งเสียเมียน้อย ค่ากินอยู่ สารพัด เมีนน้อยยังเป็นนักศึกษายังไม่มีงานที่มั่นคง คิดแล้วก็ปลง เมื่อเวลาผ่านไป สามีจะเป็นคนรู้เอง เืมื่อจะต้องจ่าย และดูแลอีกคน
สามีหาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ แต่ตอนนี้ สามียังคิดว่า ตัวเองเป็นฝ่ายถูก เมียหลวงเป็นฝ่ายผิดที่โวยวาย หาเรื่อง เพื่อนสนิท 2 คนที่เป็นทนายก็พยายามช่วยเพื่อน เข้าข้างว่า เพื่อนถูก จะช่วยให้ไม่ต้องแบ่งสินสมรส แต่ฝ่ายแม่ของเมียน้อยอยากให้หย่าไปเลย
ดูท่าเกมนี้คงสนุกไม่เบา
เมียหลวงขอเดินหน้าปิดบัญชีรักกับสามี หย่าขาดกันให้ชัดเจน แบ่งสินสมรสตามกฎหมาย แ้ล้วอยากจะอยู่กับเมียน้อยก็เชิญตามสบาย
"คงจะจบแล้วล่ะ หนามตำใจ คุณคิดว่า จะจบหรือยัง" เมียหลวงถามนายบอนในคืนวันนั้น
จะจบไม่จบ ก็อยู่ที่ฝ่ายสามี ว่าจะสู้คดียังไง จะยอมได้แค่ไหน อาจจะจบเร็ว หรือยืดเยื้อกันต่อไป และถึงจะเจ็บปวดอีกแค่ไหน ยังไงก็ต้องปิดบัญชีรัก หย่าให้ได้...
วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554
หนามตำใจ 7 - บุกบ้านเมียน้อย
หลังจากที่ถูกสามี และเมียน้อยทำให้ช้ำใจ เสียใจจนสุดจะทน เมียหลวงอยากเคลียร์ให้มันจบ เพราะเมียน้อยท้าทายมากๆ ถ้าไม่ทำอะไร คงเหมือนตายทั้งเป็นไปทุกที เมียหลวงเลยตัดสินใจ สู้...
หลังจากที่หาข้อมูล จนได้ข้อมูลมากขึ้น ในที่สุด 9 มิ.ย.54 เมียหลวงตัดสินใจขับรถข้ามจังหวัด บุกขึ้นบ้านของเมียน้อยทันที หลังจากที่วันก่อน ได้คุยกับแฟนเก่าของเมียน้อย ได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง ว่าเมียน้อยเป็นคนอำเภอไหนในจังหวัดนั้น จึงตัดสินใจบุกเข้าบ้าน หาความจริง ว่าทำไมเมียน้อยถึงทำตัวแบบนี้ ทำไมถึงแย่งสามีชาวบ้าน
เข้าไปในบ้าน บ้านนั้น มีแต่แม่ของเมียน้อย ส่วนพ่อ เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว แม่ทำงานเป็นหมอนวด รายได้ต่อเดือนประมาณ 3,000 บาท ดูหน้าตาแล้ว อายุไม่ห่างไกลกันมากนัก จึงเรียก "พี่" ได้ เพราะดูแล้วยังไม่แก่มาก
ว่าแล้ว เมียหลวงก็ถามตรงๆ ว่าทำไมถึงปล่อยให้ลูกสาวไปอยู่กับสามีของเธอล่ะ ไม่รู้เหรอว่า สามีมีเมียแล้ว และยังไม่ได้หย่าร้างกันด้วย
แม่ของเมียน้อยบอกว่า สามีของเธอ มารับอุปการะลูกของเธอ เพราะเอ็นดูมากๆ จะส่งเีสียเลี้ยงดูให้เรียนหนังสือ โดยวันอาทิตย์จะมารับที่บ้าน วันศุกร์จะมาส่ง สามีของเธอมากับกลุ่มเพื่อนสนิทหลายคน (แต่ช่วงหลังๆ สามีมาคนเดียว) และบอกว่า จะดูแล และจะแต่งงาน จะได้เป็นลูกเขยของแม่ด้วย
เมียหลวงจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า "แล้วพี่ไม่เห็นใจหัวอกของคนเป็นเมียหรือ ทำไมถึงสนับสนุนให้ลูกสาวทำแบบนี้" แม่ของเมียน้อยบอกว่า เดี๋ยวก็คงจะหย่าร้างกัน ถ้าหย่าแล้วจะเอาลูกสาวเป็นเมียแต่ง
เมียหลวงได้ฟังแ้ล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น มิน่าล่ะ เห็นใน facebook ของเมียน้อย ขึ้นสถานะว่า แต่งงานแล้ว อยู่กับสามี
"ที่แท้...เกมนี้เขาเตรียมการทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เรา...ก้อแค่หมากในเกมส์ ไม่มีทางที่จะตามทัน"
เมียหลวงจึงถามอีกหลายคำถาม แต่แม่ของเมียน้อยไม่กล้าตอบ เมียหลวงเลยบอกให้โทรหาลูกสาว บอกว่าจะเอายังไง แม่ของเมียน้อยก็อึ้งๆไปเหมือนกัน
เมียหลวงจึงบอกออกมาตรงๆว่า ถ้าหย่าร้างกับสามี ก็อยากจะได้ลูกกลับมาเลี้ยงเอง ไม่อยากให้อยู่กับสามี และเมียน้อย แต่ฝ่ายสามียังไ่ม่อยากหย่า เพราะไม่อยากแบ่งเงิน และทรัพย์สินหลายอย่างคนละครึ่ง
รุกถามหลายคำถาม จนแม่ของเมียน้อยพูดไม่ออก เลยถามกลับบ้างว่า แต่ก่อนสามีของเธอก็มีเมียน้อยหลายคน แล้วทำไมถึงมาเอาเรื่องกับลูกสาวของเธอหนักถึงขนาดนี้ เมียหลวงเลยตอบทันทีว่า ลูกสาวของคุณท้าทายมาก หยามมากๆ เคยโทรเตือนสติแล้ว เตือนไปว่าจะฟ้องคดีความ แต่เมียน้อยก็ยังท้าทาย ส่งรูปมาตอกย้ำให้ช้ำใจอีก
"แล้วจะเอายังไำงล่ะ"
เธอบอก จะฟ้องเรียกค่าเสียงหายกับเมียน้อย ตามกฎหมาย ฐานทำให้เีมียหลวงเสื่อมเสีย เรียนกฎหมายมาเหมือนกัน รู้ข้อกฎหมายว่า ฟ้องร้องได้
แม่ของเมียน้อยถึงกับอึ้ง เลยบอกว่าจะขอปรึกษากับว่าที่ลูกเขยก่อนว่า จะเอายังไง ฝ่ายสามี (ว่าที่ลูกเขย) ไม่อยากแบ่งเงิน+สมบัติจากการหย่า แต่ถ้าหย่ากันแล้ว เมียน้อยจะได้แต่งงาน แม่จะได้ลูกเขยเต็มตัว มีสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ
เมียหลวงคาดการณ์ว่า ถ้าเกิดการฟ้องหย่า แม่ของเมียน้อยจะช่วยเป็นพยาน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเธอ อยากให้หย่าให้เสร็จ ลูกของเธอจะได้มาแทนที่เสียที
บุึกบ้านเมียน้อยแล้ว อาจจะเป็นประโยชน์กับคดีความที่จะเกิดขึ้นก็ได้ หนามตำใจเธอมานาน หนามนี้ จะเริ่มทิ่มตำทางสามีมั่งแล้ว