เมื่อคนเราทำงานจนถือว่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินทองเหลือใช้มากมาย แล้วในช่วงเวลาหนึ่ง หวลคิดถึงคนที่ด้อยโอกาส อยากที่จะแบ่งปันโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านั้นบ้าง เช่นเดียวกับเพื่อนของนายบอนที่ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งใน กทม.
เพราะในสมัยเรียนหนังสือ เพื่อนคนนี้ พบกับความยากลำบาก ความขาดแคลนโอกาสหลายอย่าง จึงต้องต่อสู้ดิ้นรน ค้นหาหนทางชีวิตของตนเองจนสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานดังที่หวังไว้ จึงเกิดความตั้งใจว่า อยากจะแบ่งปันโอกาสให้กับคนทางบ้าน ที่ขาดแคลนหลายสิ่ง เหมือนที่เขาเคยขาดโอกาสเหล่านั้นในสมัยเรียนบ้าง
ถ้าชีวิตไม่เคยผ่านความทุกข์ยาก ความขาดแคลนมาก่อน ย่อมไม่มีแรงผลักดันที่อยากจะทำกิจกรรมคืนสู่สังคมให้กับคนที่ขาดแคลนในชนบทบ้าง.. ถ้าไม่เจอกับตัวเองมาก่อน ย่อมไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้
เพื่อนมาปรึกษาว่า อยากทำกิจกรรมแบบนี้ แต่ตัวเขาเอง ไม่มีเวลามากนัก เพราะงานที่บริษัท ยุ่งตลอดทั้งวัน และยังต้องเดินทางออกต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเงินทุน เพื่อทำกิจกรรมตามความฝันนี้
ลองถามไถ่ว่า อยากทำอะไร เขาก็คิดออกมากว้างๆ ไปเลี้ยงข้าวเด็กๆดีมั้ย หรือ ซื้อหนังสือไปมอบให้โรงเรียน เพื่อนอีกคนก็เสนอว่า ให้เงินไปเลย ให้แล้ว เค้าจะเอาไปใช้อะไรก็แล้วแต่เค้า ...เพื่อนอีกคนทกท้วงว่า ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวเอาไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่จะให้ แล้วเพื่อนอีกหลายๆคน ก็มีไอเดียอื่นๆอีก
เรื่องการทำกิจกรรมดีๆเพื่อสังคม ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากทำ เพราะถือว่า เป็นการทำบุญไปในตัว เพื่อนหลายคน มีเงินพร้อมสนับสนุน แต่ไม่มีเวลา ตั้งใจจะไปชวนเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน มาร่วมกันทำ คนโน้นก็เสนอไอเดียอย่างนี้ อีกคนก็มีเงื่อนไขแบบนั้น เลยไม่ได้ลงมือทำสักที
ความตั้งใจดีๆแบบนี้ ได้ยินเพื่อนหลายคน พูดให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำสักที เลยมาปรึกษาว่า "ช่วยคิดให้ทีว่าจะทำแบบไหนดี "
ถ้าเอาเรื่องนี้ไปถามคนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม จะมีกิจกรรมมากมายที่น่าทำ แต่เพื่อนที่ทำงานบริษัทกลับคิดไม่ออก เพราะไม่มีเวลาคิดจริงๆ
มีความตั้งใจที่ดี ทำได้แน่ๆ แต่จะได้ทำหรือเปล่า นี่สิ คือ สิ่งสำคัญ เรื่องเวลาที่มีจำกัด คงไม่ใช่ปัญหาสำคัญ อยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า การทำกิจกรรมเพื่อสังคมเริ่มต้นจากเล็กๆ แล้วค่อยๆขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น
แนะนำให้เพื่อนต้นคิด ลองไปหาพรรคพวกที่เห็นด้วย และอยากทำงานนี้ด้วยกันมา ได้เท่าไหร่ก็วางแผนแบ่งงานลงมือทำเท่าที่กำลังจะทำได้ เริ่มจากคนไม่กี่คน คนที่รู้ใจกัน คนที่มองในแง่ลบ หรือมองถึงความคุ้มค่า ก็ไม่ควรจะชวนเข้ามาร่วมงานนี้กัน เพราะกิจกรรมเพื่อสังคม ไม่ใช่การทำงานเพื่อหาเงิน หรือหากำไร แต่เป็นการให้ ผลตอบแทนที่ได้ คือ ความสุขใจของผู้ให้ และผู้รับ เมื่อได้เพื่อนร่วมทีมที่รู้ใจแล้ว ก็มานั่งวางแผน และเตรียมงานกันเลย
1.จะทำกิจกรรมที่ไหน (สถานที่ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด)
2.จะทำอะไร
3.กลุ่มเป้าหมายคือใคร
4.ทำเมื่อไหร่
เลยเสนอไปว่า ทำที่บ้านเกิดของคุณน่ะแหละ แม้ตอนนี้ คุณทำงานที่บริษัทในกทม. ไม่มีเวลามากนัก แต่คุณย่อมรู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของคุณดี รู้ว่า จะทำอะไร มีใครที่บ้านเกิดบ้าง พวกเค้าขาดแคลนอะไร จะไปมอบอะไรให้ หรือทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง
เมื่อไปทำกิจกรรมที่บ้านเกิด แน่นอน มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ที่พร้อมจะช่วยเหลืออยู่แล้ว ทั้งการติดต่อประสานงานต่างๆ เป็นกองหนุน และแรงงานที่ช่วยสนับสนุนเป็นอย่างดี
กิจกรรมที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นการไปมอบหนังสือให้โรงเรียน มอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การศึกษา อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า ทำบุญที่บ้าน เลี้ยงอาหารเด็กๆ ฯลฯ ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น หลังจากที่พูดคุยปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมแล้ว แล้วโทรปรึกษากับพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนๆทางบ้าน ก็จะได้ไอเดียที่เอามาทำกิจกรรมได้ แล้วจะมีคนคอยช่วยเหลือ ผลักดัน จนทำให้กิจกรรมเพื่อสังคม เป็นจริงขึ้นมาได้
ในหลายพื้นที่ของเมืองไทย ยังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะ ขอให้ความตั้งใจดีๆนั้น สำเร็จดังที่หวังไว้....
+++
กิจกรรมเพื่อสังคม
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
ความตั้งใจ อยากทำกิจกรรมคืนสู่สังคมของนักธุรกิจจากกาฬสินธุ์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น