วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

ขอคืนพื้นที่หัวใจพันธมิตรให้่เพื่อนรัก..!!

          "ชุมนุมครั้งนี้พวกเราจะชนะแน่หรือ ตอนปี 51 วันที่ตำรวจเดินแถวเข้ามารื้อเต็นท์ ผลักดัน ไล่ตีพี่น้องเรา พวกเรายังบุกเอาพื้นที่คืนในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ครั้งนี้อยากจะมายึดถนนสองเลนก็ปล่อยให้ยึดไปเลย ถ้าวันไหนตำรวจจะยึดทั้งหมด พวกเราก็จะปล่อยให้ึยึดไปเลยงั้นหรือ แล้วจะปักหลักชุมนุมไปทำไม ขนาดพื้นที่ยืนของคนไทยหัวใจไทย ยังยอมให้คนไทยหัวใจเขมรส่งตำรวจมายึดคืนได้ ยอมกันง่ายๆ เหมือนนายกที่ยอมเขมรให้มายึดพื้นที่ของไทย ..มาจับคนไทยในดินแดนไทย...."



            ภาพข่าวเมื่อเช้าตรู่ 28 ก.พ.2554 เมื่อตำรวจเข้ามายึด..ขอคืนพื้นที่เปิดถนนสองเลนข้างกระทรวงศึกษา ให้รถวิ่งผ่านบริเวณนั้นได้ พี่น้อง พธม.หลายจังหวัดจึงเดินทางเข้า กทม. มิตรสหายที่มหาสารคามจึงแวะไปหาเพื่อนคนหนึง ถามว่า จะเข้า กทม.หรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้ กลับเป็นข้อสงสัยข้างต้นที่ว่า จะชนะแน่หรือ...


             เมื่อฟังที่พูดแล้ว เขาก็สงสัยเช่้นกันว่า "แล้วทำไมถึงไม่ออกมาปกป้องในสิ่งที่เชื่อมั่นว่าถูกต้อง หรือเพื่อนคนนี้ ไม่ได้เชื่อแบบนั้นอีกแล้ว"


             อีกประโยคที่เขาได้ยินก่อนจากเพื่อนคนนั้น คือ
             "ใครจะรักแดงรักเหลือง แต่ผมรักในหลวงและแผ่นดินของพ่อ..."

              ฟังแล้วดูดีจัง รักแผ่นดินของพ่อ แต่ไม่คิดที่จะรวมพลังปกป้องแผ่นดินของพ่อเลยหรือ

 + + + + +

            ในพื้นที่ตัวเมืองมหาสารคาม มีพี่้น้องพันธมิตรรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น รวมตัวรวมใจเสริมแรงต่อสู้ร่วมกัน แต่ในเขตพื้นที่นอกเมือง ดูเหมือนจะเป็นคนกล่มน้อยของสังคมที่ยังยืนหยัดในอุดมการณ์ แถมยังมีแรงเสียดทานทีบั่นทอนความรู้ึสึกอีกมากมาย ผู้คนทั่วไปก็ก่นด่า คนเสื้อแดงก็เกลียดชัง คนที่เคยร่วมชุมนุม 193 วันเริ่มถอดใจ - เปลี่ยนจุดยืน และขอตั้งใจทำมาหากินอย่างเดียว  คนที่ยังมีอุดมการณ์ที่มั่นคง ก็เริ่มท้อ ยิ่งไม่ได้ใช้ facebook ไม่ได้ใช้ internet ติดตามข้อมูลข่าวสาร ยิ่งดูเหมือนเดินอย่างเปล่าเปลี่ยวในเส้นทางสายพันธมิตร เพื่อนที่เคยร่วมเดินต่างหายไปเรื่อยๆ

          
               "เปี๊ยก จะไปมัฆวานด้วยกันมั้ย ดูทีวีรึเปล่า เมื่อเช้าตำรวจมาขอคืนพื้นที่ถนนไป 2เลน ไม่รู้จะเข้ามาสลายวันไหน มีแต่คนแก่และเด็กที่ปักหลักอยู่ที่นั่น.."

                  เปี๊ยกมีท่าทีลังเลอยู่พอสมควร เขาจับมือเปี๊ยกไปหยิบเป้คู่ใจ  ซึ่งเป้ก็เดินตามไปโดยดี เดินไปขึ้นรถสองแถว เข้าไปในตัวเมืองมหาสารคาม ไปต่อรถที่ บขส.

                ราว 8 โมงเศษๆ เพื่อนของเปี๊ยกก็โทรศัพท์มาหานายบอน เล่ารายละเิัอียดให้ฟังอย่างคร่าวๆ

               "ทำไมถึงมั่นใจว่าเปี๊ยกเต็มใจไปมัฆวาน จะไม่เหมือนเพื่อนคนแรกที่ไม่ใส่ใจที่จะไปมัฆวานหรือ"

               "มองตาก็รู้ใจครับพี่ ก็เหมือนพี่น่ะแหละ ไม่ว่าจะยังไง ก็หัวใจพันธมิตร"

               ที่เขาโทรมาก็เพื่อจะขอยืมตังค่ารถเข้า กทม.บอกให้ช่วยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสินมหาสารคาม เพราะตอนนั้นอยู่ใกล้ๆ แล้วจะต่อรถจาก บขส.มหาสารคามไปลงที่บ้านไผ่ แล้วต่อรถ ป.2 ที่วิ่งทำเวลาไปที่โคราช แล้วต่อรถเข้า กทม. เพื่อจะได้ไปถึงไว ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถทอดเดียวที่วิ่งช่วงกลางวัน แต่แวะจอดบ่อย จอดนานมาก ต่อรถไปเองจะได้ถึงเร็วขึ้น คงจะถึงมัฆวานช่วงค่ำๆ ขากลับจะนั่งรถไฟกลับ

              นายบอนบอกโอเค เหมือนหลายครั้งที่เขาโทรมายืมค่ารถเข้า กทม. แม้จะเป็นเงินแค่ไม่กี่ร้อยบาท แม้จะต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง แต่หัวใจและอุดมการณ์ที่มั่นคง อุปสรรคแค่นี้ดูจะเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับเป้าหมายในการไปรวมพลังปกป้องแผ่นดินที่มัฆวาน แต่ฟังเหตุผลที่น้องบอกมา เลยโอนเงินเพิ่มให้อีกนิด เป็นค่าเติมเงินโทรศัพท์  เขาจะไปขอคืนพื้นที่หัวใจพันธมิตรให้เปี๊ยก เพื่อนรักของเขา ...อยากรู้เหมือนกันว่า จะทำอย่างไร เผื่อจะใช้วิธีการเดียวกัน ขอคืนพื้นที่ในหัวใจของพี่น้องหลายคนที่ท้อแท้ ถอดใจ ให้เป็นคนที่หัวใจเต็มร้อย ยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินอย่างเต็มที่ซะที

              เกือบ 17.00 น. เขาก็โทรมาบอกว่า พึ่งมาถึงสระบุรี คงถึง กทม.ตอนค่ำ ตั้งแต่ออกจากสารคาม เปี๊ยกดูเหมือนมีความขัดแย้งในความรู้สึกของตัวเอง ใจหนึ่งอยากไป แต่อีกใจลังเลว่า ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา มีหลายเหตุผลที่จะไม่มามัฆวานซึ่้งนั่งคุยกันตอนเดินทาง.... แต่ที่สุดแล้ว มันเป็นความรู้สึก เ็ป็นเรื่องของหัวใจที่สำคัญกว่าเหตุผล มีเหตุผลมากมายที่จะถอดใจ ท้อถอย ไม่อยากมามัฆวาน แต่เมื่อใช้หัวใจและความรู้สึกเป็นเข็มทิศนำทาง เมื่อเราตัดสินใจออกมาปกป้องในสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าถูกต้่อง คือ รวมพลังปกป้องแผ่นดินแล้ว เหตุผลเหล่านั้นก็ตกไป....

             นายบอนฟังแล้ว ทึ่ง นึกแล้วก็เสียดาย น่าจะได้เดินทางไปกับน้องทั้งสองคนพร้อมกัน  สายตาจ้องดู ASTV แล้วยื่นโทรศัพท์ไปใกล้ลำโพงจอทีวี เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด

             "เราจะสู้ สู้ สู้ให้ถึงที่สุด เราจะหยุดผู้รุกรานแผ่นดิน
              เราจะสู้ สู้ แม้จะสิ้นชีวิน เพื่อแผ่นดินเพื่อพี่น้องผองไทย

             เราคนไทย ชาติเชื้อไทย อธิปไตยอย่าให้ใครมาข่มเหง
              เราคนไทย ไม่หวั่นเกรง ใครข่มเหง เราสู้ตาย"

            
               ประทีป ขจัดพาล กำลังร้องเพลงนี้บนเวทีที่มัฆวาน สักพักมีเสียงตอบกลับมาทางโทรศัพท์  "ขอบคุณครับพี่บอน"

+ + + +

                ช่วงสายวันที่ 1 มี.ค.2554 ไอ้น้องก็โทรศัพท์มาหา บอกว่ามาถึงมัฆวานตอน 2 ทุ่ม และจะปักหลักพักค้างอีก 2-3 คืนแล้วจะนั่งรถไฟกลับไปลงที่บ้านไผ่ นายบอนจึงถามว่า ขอคืนพื้นที่หัวในพันธมิตรให้เปี๊ยกได้หรือยัง

              "เรียบร้อยครับพี่"
              " ทำไงวะ"
              " มาถึงตอนแรก ไอ้เปี๊ยกก็เฉยๆ แถมบอกว่า อยากจะกลับซะอีก เลยพาคลุกวงใน หยิบมือตบ พามันไปใกล้ๆหน้าเวที ไปนั่งคุยกับพี่น้องที่ร่วมชุมนุม ร่วมวิจารณ์มาร์คกับจรกาอย่างเต็มที่ คุยเรื่องคุณวีระ กับคุณราตรี ไอ้เปี๊ยกนั่งคุยอยู่ร่วมชั่วโมง ช่วง 3 ทุ่มที่พี่ตั้วกับน้าเศกขึ้นเวที ก็พามันไปเต้นกับพี่้น้อง ให้ไปช่วยชูป้าย พธม. โยกตามจังหวะเพลงจนพี่ตั้วลงจากเวที ทีนี้ล่ะก้ไปตามน้ำ อยากอยู่ที่นี่นานๆ ถ้ามาที่นี่ก็ต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ไปกับคนที่อยู่บนเวที อย่าแค่มานั่งหรือยืนดูเฉยๆ เพื่อรักษาฟอร์ม แค่มีส่วนร่วมไปด้วยกันกับพี่น้องที่นี่ หัวใจพันธมิตรที่หลับไหล ก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วครับ"

              เออ...จริงด้วย ง่ายๆแค่นี้เอง แค่การมีส่วนร่วมไปด้วยกันกับพี่น้องที่มัฆวาน ในเมื่อตัดสินใจออกมาร่วมปกป้องในสิ่งที่เชื่อมั่นว่าถูกต้องเหมือนกันแล้วจะมัวแต่ยืนๆนั่งๆเฉยๆทำไมกันล่ะ
              


            การที่หลายคน ที่อยู่ใกล้ๆ อยู่ใน กทม. แต่นานๆมาครั้งนึง มาอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ออกไปแล้ว เพราะไม่มีส่วนร่วมกับพี่น้องที่มัฆวาน ไม่มีสายใยผูกพันที่จะทำให้ต้องมาทุกครั้งที่มาได้

            นี่เ้ป็นวิธีขอคืนพื้นที่หัวใจพันธมิตรที่ไม่ต้องประกาศ พรบ.มั่นคง ไม่ต้องออกข่าวประกาศว่าจะขอคืนถนนกี่เลน จะมีขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ไม่ต้องทำหน้าหล่อใช้คารมตอแหลไปวันๆ !!


            


              
          

Related Posts by Categories



Widget by Hoctro | Jack Book

1 ความคิดเห็น: