รถไฟสายเศร้า-ความรัก-ความห่วงใย-ผิดที่-ผิดทาง
งานเฉลิมพระเกียรติในหลวง 82พรรษา ใน กทม. ในปี 2552 จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการมากๆ มีการแสดง แสง สี เสียง Laser Multi Vision Light & sound ที่ลานพระรูป และถนนราชดำเนิน นายบอนจึงตั้งใจเข้า กทม.ไปชม และชวนเธอไปด้วย เธอตอบตกลง พอใกล้วัน เธอจะพาลูกชายทั้ง 3 คนไปด้วย เพราะลูกๆเห็นข่าวในทีวีแล้วอยากดู อยากเห็น นาบบอนก็ยินดี เพราะงานแบบนี้ควรให้เด็กๆได้ดูอย่างยิ่ง
ออกเดินทางเย็น 4 ธ.ค. ทีแรกเธอจะเข้า 5 ธ.ค. แต่นายบอนท้วงว่า นั่งรถไฟกว่าจะถึง เด็กๆจะเหนื่อย น่าจะมีเวลาให้เด็กๆพักมั่ง เธอจึงตัดสินใจไป4ธค. ไปจองตั๋วรถไฟ รถเร็ย 20.28 น. จากบุรีรัมย์-กรุงเทพ ซื้อตั๋ว 5 ใบ 177 บาท/คน นายบอนเดินทางจากบ้าน 15.00 น. มาถึงบุรีรัมย์ 20.00 น. พอดี เดินมาที่สถานีรถไฟ ซื้อแซนวิช+น้ำเเปล่า 1 ขวด ทานเป็นข้าวเย็น แต่ซื้อข้าวกล่องบนรถไฟ 20 บาททานรองท้องไปด้วย ส่วนเธอ ก็มาซื้อลูกชิ้น-ขนม-แซนวิช-น้ำ เป็นอาหารเย็นให้ลูกๆเธอ
ลูกไป กทม.ทั้ง 3 คน เธอขนกระเป๋าหลายใบ ถุงผ้าห่มนวม 2 ผืนใหญ่ ต้องให้คนข้างบ้านช่วยขนกระเป๋ามาส่ง ดูเธเหนื่อยๆพอสมควร ขนาดไปซื้อลูกชิ้น ยังหงุดหงิดใส่แม่ค้าอีกด้วย
รถไฟมาถึงตอน 20.30 น. เธอ +ลูกๆ ช่วยกันถือสัมภาระขึ้นรถไฟตู้ที่ 3 นายบอนก็ถือกระเป๋สเสื้อผ้า 2ใบ ของเธอตามขึ้นไป เธอถือตั๋วรถไฟเดินหาที่นั่งตามหมายเลข ที่นั่งเบอร์ 34 หนึ่งที่ติดหน้าต่าง ให้นายบอนนั่งตรงนี้ อีก 4 ที่อยู่แถวถัดไป เธอนั่งกับลูกๆ สักพักก็ขอแลกที่นั่งกับคนอื่นให้เธอกับลูกๆ 3 คนมานั่งใกล้กัน
รถไฟแล่นมาจากอุบล นายบอนได้ที่นั่งติดหน้าต่าง โชคร้าย หน้าต่างปิดไม่ได้ ตัวล็อคชำรุด ปิดไม่ลง เลยต้องเปิดรับลมอย่างนั้น อากาศหนาว รับลมเต็มๆ เห็นคุณป้าที่นั่งติดกัน เอาผ้าขนหนูมาปิดหน้า เลยหยิบผ้าขาวม้ามาคลุมหน้ากันลมไว้
พอรถจอดระหว่างสถานี ก็เอาผ้าคลุมหน้าออก มองดูเธอกับลูกๆ เป็นระยะๆ เธอคอยดูแลลูกๆ จัดที่ให้นอน คอยห่มผ้า บางช่วงเธอก็หันมามองนายบอน บอกให้ผิดหน้าต่างรถ ก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะมันปิดไม่ได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วรถไฟ เดินมาปิด ก็ปิดไม่ได้
ช่วงหนึ่งเธอบอกให้มานั่งด้วยกันจะได้ไม่หนาว นายบอนส่ายหน้า ที่นั่งรถไฟก็แคบ ให้เธอกับลูกๆนั่ง เอนหลังนอนให้เต็มที่ดีกว่า แค่นี้คงพอทนได้ เอาผ้าขาวม้าปิดหน้า บังลม ช่วงถึงโคราช-ปากช่อง หนาวจัด ต้องเลื่อนกระเป๋าสะพายให้บังลมที่พัดจากหน้าต่างไม่ให้ถูกหน้าอก นั่งเกร็งในท่านั้นไปตลอด ปวดเมื่อยตอนไหนก็ค่อยๆขยับตัว เพื่อไม่ให้เป็นตะคริว พอผ่านปากช่อง ค่อยหนาวน้อยลง นั่งท่าเดิม หลับได้หลายๆช่วง
มาถึงสถานีรังสิต เธอกับลูกๆก็ตื่น เก็บสัมภาระเตรียมตัวลง มาถึงสถานีรถไฟบางเขน นายบอนก็เดินไปช่วยถือกระเป๋า 2 ใบของเธอ เดินนำมารอที่ประตูทางลง ถึงบางเขนตอนตี 4 ลงจากรถไฟก็เดินมาที่สะพานลอยข้ามถนน มังกรกับไมกี้ ค่อยๆเดินบนสะพานลอย กลัวจะพังลงมา เพราะดูสูง ทำเอาเธอหัวเราะ ที่ลูกๆเธอกลัวถึงขนาดนั้น กว่าจะข้ามฝั่งมาได้ ดูเหมือน 2 หนุ่มน้อยเกร็งมาตลอดทาง ดูแล้วก็น่าตลก แต่คิดอีกที ทั้ง 3 คนน่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้ พบเจออะไรมากกว่านี้ ดูเหมือนตอนนี้ ลูกของเธอเหมือนนกน้อยในกรงทางมากเกินไป คนเป็นแม่ดูเหมือนจะดุ คอยห้ามคอยระวังไปซะเกือบทุกอย่าง บางเรื่องน่าจะให้ลูกๆได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตบ้าง โดยอยู่ในสายตาของเธอ ดีกว่าให้พวกเค้าไปเรียนรู้หลายอย่างโดยที่เธอไม่รู้เรื่องเลย
ข้ามฝั่งมาได้ ก็รอพักใหญ่ โจ+กบ ก็ขับรถมารับ มาพักที่ตระกูลรุ่งอพาร์ทเมนต์ แถวพหลโยธิน 34 พอถึง เธอก็พาลูกๆนอนพักผ่อน.... ตี 5 พอดี นายบอนนอนไม่หลับ เพราะเป็นเวลาตื่นนอน เลยลงมาข้างล่าง โจตามมาคุยเป็นเพื่อน ทั้งๆที่พึ่งกลับมาจน ชนแดน เพชรบูรณ์ มาคุยเรื่องหลวงพ่อของเขาให้ฟัง แล้วพาไปเดินดูตลาด และกลับมาหน้าอพาร์ทเมนต์
เธอรู้สึกตัว โทรมาตอน 2 โมง บอกให้ไปดุ ไปจองห้องพักรายวันตรงปากซอย นายบอนเดินผ่านกับโจ แวะถามดูแล้ว ห้องแอร์ 600 ห้องพัดลม 400 เดี๋ยวให้เธอตื่น ค่อยมาจอง แต่เธอบอกว่า ให้นายบอนไปจอง จะให้นอนพักค้างคืน คนเดียว เธอกับลูกจะนอนที่นี่ (ห้องพ้กของน้องสาว) นายบอนจึงบอกไปว่า งั้นก็ไม่นอน เพราะไม่อยากนอนคนเดียว
บางที เธออาจจะอยากให้เรานอนพักผ่อนสบายๆ แต่เราก็นึกว่า เธอจะพาลูกๆมาพักด้วย จะได้นอนพักสบายๆ ไม่ต้องนอนเบียดๆกันที่ห้องน้องสาว แต่คงเพราะอยากลดค่าใช้จ่ายด้วย .แต่เราก็รู้สึกแย่ ทำไมต้องให้เราแยกไปนอนที่อื่นคนเดียว เลยบอกว่า จะไปหาที่นอนกับรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจดีกว่า ไม่เสียค่าที่พัก ยิ่งมีเงินน้อยๆอยู่
ช่วงสาย รอ ร้อ รอ จน 3 โมงเช้า เธออาบน้ำ แต่งตัวให้ลูกๆเสร็จ พาลงมาหากินข้าว สั่งข้าวเหนียว ส้มตำ ปิ้งตับ-ไก่ จากคนขายคนสารคาม-เพชรบูรณ์ ขึ้นมากินบนห้อง ดูทีวี คุยกันไป ปหั่นผ้าไป 11.00 น. เห็นข่าวในทีวี ในหลวงยังไม่เสด็จออกมหาสมาคม ก็เลยจะไปสนามหลวง เธอบอกว่า คงจะรอที่นี่ เพราะแดดร้อน เด็กๆคงไปไม่ไหว นายบอนเลยไปคนเดียว บอกว่า พบกันตอนเย็น ดูเหมือนท่าทางเด็กๆอยากไปเที่ยวด้วย
เดินจากอพาร์ทเมนต์ ขึ้นรถ 2 แถวออกมาปากซอย ขึ้นรถเมล์ฟรี มาต้อถไฟฟ้า BTS ลงสะพานตากสิน เธอก็โทรมาบอกว่า ในหลวงเสด็จแล้ว ไปทันรึเปล่าล่ะ จาก BTS ต่อรถเมล์เล็กสาย 1 มาสนามหลวง ผู้คนเยอะแยะ เดินไปดูหลายอย่าง แล้วก็ไปต่อแถวตรงโรงทาน หาอะไรกิน แล้วเดินสำรวจบริเวณงานจากสนามหลวง มายังถนนราชดำเนิน ถึงป้อมมหากาฬ
เดินมากจนปวดขา ปวดหลัง เพลียตั้งแต่บ่าย 2 แถมไม่ได้นอนเต็มอิ่ม
เดินมาดูโปรแกรมการจัดงาน เพียบเลย โทรไปบอกเธอ บอกให้รีบออกมา กะเวลาไว้ละกัน เพราะมีอะไรให้ดูเยอะมาก ดูไม่หมดหรอก
เธอก็พูดเสียงดังอารมณ์หงุดหงิด ก็จะไปดูให้หมดทุกอย่างน่ะแหละ เดี๋ยวค่อยออกไป
เธอบอกจะเข้ามาทางนางเลิ้ง ไปลานพระรูป ดูท่าทางจะหากันเจอยาก เพราะคนเยอะมากๆ ในตอนนั้น
เดินๆหยุดๆ ดูงาน จนเย็น ค่ำ มืด เธอโทรมา บอกอยู่ที่ลานพระรูปแล้ว นายบอนจะมาหามั้ย เลยตอบกลับไป เดี๋ยวโทรบอกอีกทีละกัน จากสนามหลวงค่อยๆเดินๆไป ปวดหลัง ปวดขามากๆ ต้องหาที่นั่งพัก คิดว่า ค่อยๆเดินๆพักๆ คงไปถึงลานพระรูป เธอโทรมาอีก ก็ตอบทำนองเดิม บอกด้วยว่า เดินไม่ไหว แต่เธอคงไม่เชื่อ เพราะเห็นชอบเดิน
ช่วงจุดเทียนชัย ตอน 19.20 น. นายบอนแวะเข้าไปนั่งพักในธนาคารออมสิน สาขาราชดำเนิน อยู่ดูจุด
พลุเฉลิมพระเกียรติจน 2 ทุ่ม เดินไกลไม่ไหวจริงๆ ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย โทรหาเพื่อน พี่ มีทั้งที่กลับบ้าน โทรไม่ติด เลยไม่รู้จะไปค้างที่ไหน หอพักรายวันก็ไม่ได้จองไว้
เธอก็โทรมาถามอีกว่า จะมาหามั้ย เพราะเธอคงพาลูกๆเดินไปหาที่นั้นไม่ไหว เด็กๆเดินไม่ไหว "อ์ม เดี๋ยว โทรบอกอีกที" นั่งพักเหนื่อยพอสมควร ก็นั่งส่ง SMS ไป "ถ้าง่วงแล้วก็พาเด็กๆกลับกันเถอะนะ .... ถ้าบอนไม่ไหว ขอกลับคืนนี้ละกัน"
ตั้งใจฝืนทน คืน 5 ธค. ตั้งใจจะหาที่นั่งดูการแสดงโต้รุ่งที่สนามหลวง แต่เหนื่อย เพลียมากๆ อดนอนมาด้วย ถ้าหลับคงหลับยาว ตื่นไม่ทันรถไฟเที่ยวที่เธอจะพาลูกๆกลับ
ทั้งหนื่อย เพลีย ปวดหลัง ปวดขา ทำให้หงุดหงิดง่าย พอเธอโทรมาด้วยเสียงหงุดหงิด ไม่พอใจ ก็ชักหงุดหงิดเหมือนกัน ตอนเธอ SMS บอกว่า พาเด็กๆกลับแล้วนะ ความรู้สึกหนึ่ง เหมือนถูกทิ้ง ตอนนั้นก็ไม่มีที่นอน เพื่อน พี่ไม่อยู่ อยากทนรอเธอถึงเที่ยงอีกวัน ก็ไม่แน่ใจว่าจะไหวหรือเปล่า ที่จะต้องนั่งรถไฟไปส่งเธอในวันที่ 6 และกลับถึงบ้านตอนบ่ายๆ 7 ธค
จาก 4-5 ทุ่ม เธอโทรมาอีกหลายครั้ง แต่ไม่รับสาย เพราะแบตมือถือจะหมดแล้ว เดี๋ยวไม่มีนาฬิกาให้ดู เธอกดโทรมาอีก ต้องกดวางสายหลายครั้ง กลัวโทรศัพท์จะดับ แต่อีกมุมหนึ่งก็น้อยใจ เธอทิ้งเรากลับไปเฉยเลย แต่เราก็บอกเธอเองว่า จะไปนอนที่อื่นนี่นา
กว่าจะถึง 6 ทุ่ม ก็แทบแย่ เวทีหมอลำเสียงอีสานปิดเวทีตอน 6 ทุ่ม ไม่มีอะไรดูแล้ว นั่งก็อยากหลับ มีแต่คนรอรถเมล์กลับ ถ้าต้องนอนแถวนั้น ก็กลัวเกิดเหตุร้าย เห็นรถเมล์สาย 3 ไปหมอชิตใหม่ เลยเดินไปเบียดขึ้นรถ คนอัดแน่นไปหมด กว่าจะถึงหมอชิตก็ปวดเมื่อยมากๆ ถึงหมอชิตตี 1 เดินขึ้นมาซื้อตั๋วสุรนารีแอร์ รถออก 1.40 น.
ขึ้นบนรถ ก็ยังปวดๆ เพลียๆอยู่ รอออกจากหมอชิตตามเวลา วิ่งผ่านสถานีรถไฟบางเขน มองสะพานลอยที่เดินข้ามตอนมาถึง นึกแล้วเศร้า เสียใจที่ต้องทิ้งเธอกลับบ้านก่อน แล้วก็หลับไป
เวลานั้นคิดอะไรไม่ออก ปวด เมื่อย เพลียไปหมด ถึงบ้านกาฬสินธุ์ 9.30 น. อาบน้ำ กินข้าว แล้วนอนทั้งวัน
ตื่นขึ้นมา มองโทรศัพท์แล้ว ก็เสียใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่มีอะไรจะแก้ตัว
เธอคงโกรธ เสียใจ น้อยใจ เศร้าใจ ฯลฯ
ไม่อยากพูดด้วย
รุ้สึกผิดอย่างแรง ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน
....
กลับมานั่งนึกดู ก็ได้แต่เสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ถ้าอดทนได้อีกนิด อีกไม่กี่ชั่วโมง
คงไม่เป็นแบบนี้ ...
.. ดูแล้วเหมือนเธอพาลูกๆไป กลับกันเอง
นึกถึงวันที่ออกเดินทาง
เธอซื้อตั๋วรถไฟให้ก่อน
ยังไม่ได้เอาเงินค่าตั๋วให้
เลยไปค้นเลขที่บัญชี ธ.กรุงไทยของเธอ
10 ธ.ค. เลยโอนเงินค่าตั๋วไปให้ 200 บาท
ตอนมา นั่งรถไฟมาด้วยกัน
แต่ขากลับ เธอกลับกับลูกๆ โดยไม่มีเรามาด้วย
!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น