รายการในช่อง Superบันเทิง มีหลายรายการที่น่าติดตาม นับตั้งแต่รายการ เขย่าจอ, เปิดหมดเปลือก, เรื่องมันส์ใหญ่, Superบันเทิงนิวส์, Top of the Town, ฮวงจุ้ย ส่วนรายการอื่นๆ ไม่แน่ใจว่า มีคนดูมากน้อยแค่ไหน เพราะเวลาออนแอร์ ไปชนกับรายการอื่นๆของช่องอื่นๆ
แต่รายการสั้นๆที่มีทุกวันตอน 2 ทุ่ม และมีรีรันอีกครั้งตอน 5 ทุ่ม อย่างรายการ "เพลงเพื่อเธอ Beautiful Music" รายการสั้นๆไม่เกิน 10 นาที เอาเพลงสากลเพราะๆมาคุยถึงที่มาที่ไปของบทเพลงนั้น พร้อมเปิดเพลงให้ฟัง
พูดถึงบทเพลง I started the Joke : Bee Gees
พี่ต้น สุชาติ ชวางกูร เป็นพิธีกรรายการนี้ พูดคุยถึงเกร็ดน่ารู้ของเพลงต่างๆ นึกว่านายบอนจะชอบดูรายการนี้อยู่คนเดียว แต่เท่าที่รู้ มีพรรคพวกที่มหาสารคามก็คอยดูรายการนี้ ได้ฟังเพลงเก่าๆที่เคยชอบ และเพลงเก่าที่ยังไม่เคยฟัง พอได้ฟังจากรายการแล้ว ต้องไป search หาจาก Internet อีกรอบ
พรรคพวกในกาฬสินธุ์ ก็ติดใจรายการนี้เช่นกัน ต้องกดรีโมท เปลี่ยนช่องมาดูรายการนี้ตอน 5 ทุ่ม (แต่บางวัน ก็รีรันก่อน 5 ทุ่ม) ที่ชอบเพราะเป็นรายการที่ให้ข้อมูลเรื่องของบทเพลงได้อย่างดี ต่างกับรายการเพลงทางฟรีทีวี หรือ เคเบิลทีวีของค่ายเพลงใหญ่ๆ ที่เอาแต่เปิดเพลงโปรโมทซ้ำๆกัน พูดเชียร์นักร้อง เชียร์เพลงตามเนื้อเพลง หรือ ตามที่เห็นในมิวสิควิดีโอ แล้วก็บอกให้กดโหลดเพลง หรือ ซื้อแผ่นลิขสิทธิ์ พูดแบบนี้ตลอด ไม่ค่อยได้สาระอะไรมากนัก
แต่สำหรับรายการเพลง เพื่อเธอ สั้นๆ แต่เนื้อหาเข้มข้น เต็มอิ่ม มีคนบอกว่า ถ้าจัดเป็นรายการเต็มเวลา 1 ชั่วโมง คงจะเข้มข้นน่าติดตามไม่น้อยทีเดียว
ถึงจะเป็นรายการสั้นๆ แต่ก็มีแฟนรายการประจำอยู่พอสมควรแล้วนะครับ ทั้งแฟนเพลงพี่ต้น และคอเพลงสากลเก่าๆ เห็นรายการแบบนี้แล้ว นึกถึงคุณสนธิ ตอนเล่าถึงเพลงลูกทุ่ง ถ้าช่อง Super บันเทิงมีรายการที่พูดถึงเพลงเก่าๆแบบสั้นๆ ทั้งเพลงไทยลูกทุ่ง, ลูกกรุง, เพื่อชีวิต สตริง คงจะดีไม่น้อย ....
++++
เพลงเพื่อเธอ Beautiful Music, ASTV, Superบันเทิง
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เพลงเพื่อเธอ@Superบันเทิง รายการโปรดของคนดูที่สารคาม-กาฬสินธุ์
ล้างเครื่อง ลง Windows ใหม่ กับชีวิต มุมคิด บวก - ลบ
มีรุ่นน้องคนหนึ่ง นานๆทีจะโทรมาปรึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์กับนายบอน แต่ก่อน เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหา เขามักจะยกไปซ่อมที่ร้าน แต่พอรู้ว่า มีหลายอย่างที่เขาสามารถ แก้ปัญหาเองได้ ประหยัดค่าซ่อมได้ เลยขอแก้ไขปัญหาเอง จะได้ความรู้ด้วย
สัปดาห์ก่อน เครื่องของน้องเกิดอาการแฮงก์บ่อยๆ เครื่องทำงานช้ามากๆ อีก 3 วันต่อมา เครื่องบู๊ตไม่ขึ้นเลย ไม่รู้ว่าเจอไวรัสหรือสปายแวร์หรือเปล่า เพราะน้องใช้คอมพิวเตอร์รับจ้างพิมพ์รายงานหารายได้เสริม มีลูกค้าเอา flash drive มาเสียบที่เครื่องเพื่อ save ข้อมูลนับครั้งไม่ถ้วน
"จะทำยังไงดีพี่ จะกู้ไฟล์ได้มั้ย มีข้อมูลสำคัญๆในเครื่องเยอะเลย เป็นไฟล์งานเก่าๆของลูกค้าทั้งนั้น"
+ + + +
สเป็คเครื่องของน้อง คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำ 512MB ฮาร์ดดิสก์ 40GB หน่วยประมวลผลความเร็ว 800 MHz ใช้ windows XP service pack2
ปัญหาคือ บู๊ตไม่ขึ้นเลย เปิดเครื่องขึ้นมา Windows ไม่สามารถรันต่อไปได้ หลังๆ เครื่องพยายามบูตซ้ำ แต่ก็บู๊ตไม่ขึ้น
"แบบนี้ ไม่เหลือแล้วล่ะ ล้างเครื่องลง Windows ใหม่ไปเลย"
รุ่นน้องพยายามโทรไปถามหาวิธีแก้ไขปัญหา วิเคราะห์ว่าปัญหามันน่าจะเกิดจากอะไร แต่หลายคนบอกว่า ต้องล้างเครื่องแล้วล่ะ
มีใครคนหนึ่งบอกว่า มีทางเลือกในการแก้ปัญหาอยู่บ้าง เช่นการ Re-install ลง windows ใหม่ทับตัวเดิม ซึ่งโปรแกรมต่างๆยังอยู่ มีการเปลี่ยนไฟล์ใน C:\windows เท่านั้น หรือใช้วิธี Repair ติดตั้งไฟล์ windows ใหม่ โดยการค้นหาไฟล์ที่เกิด error
วิธีการคือ เตรียม CD แผ่นติดตั้ง windows XP ใส่แผ่นเพื่อให้เครื่องบู๊ตจากแผ่น CD ทำตามขั้นตอนแล้วเลือกตามรายการ
- To Repair the selected windows XP installation. press R
ส่วนรายละเอียด ขั้นตอน ไปหาดูจากหนังสือคอมพิวเตอร์ตามร้านหนังสือดูละกัน
รุ่นน้องเลือกที่จะใช้วิธีการแบบนี้ เมื่อใส่แผ่น windows XP แผ่นแท้ในไดร์ว CD บู๊ตเครื่องจากแผ่นติดตั้ง ทำตามขั้นตอน ก็เจอขั้นตอนให้ format ไดร์ว C แล้วติดตั้ง windows XP ซึ่งเป็นการลบข้อมูลที่มีทั้งหมดใน ฮาร์ดดิสก์
รุ่นน้องเครียด ที่จะต้องสูญเสียข้อมูลในเครื่องไป จึงลังเลไม่กล้าทำต่อ กดยกเลิกการติดตั้งและปิดคอมพิวเตอร์ไว้ เผื่อจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้
"มีวิธีการแก้ไขแบบอื่นอีกมั้ยพี่ ผมต้องใช้เครื่องแล้วนะ ลูกค้ามาติดต่อให้พิมพ์รายงานเยอะเลย"
ไปถามร้านที่รับซ่อมคอมพิวเตอร์ ก็บอกว่า ถ้าคอมพิวเตอร์มีอาการแบบนี้ ก็จะต้องล้างเครื่องไปเลย
"ล้างเครื่องไปเถอะ คอมพิวเตอร์ของน้องต้องแก้ไขแบบนี้แล้วล่ะ"
รุ่นน้องแสดงอาการเสียใจ ไม่อยากทำ เสียดายข้อมูลในคอมพิวเตอร์
"เมื่อเกิดปัญหาผิดพลาดก็ต้องแก้ไข หลายอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต แม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราก็ทำปัจจุบันให้ดีกว่าอดีตได้ ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ก็พิมพ์ขึ้นมาเองทั้งนั้น ถ้าล้างเครื่องลงโปรแกรมใหม่ เครื่องก็ใช้งานได้ พิมพ์งานรับเงินได้ตั้งแต่วันนี้ไป แถมได้คอมพิวเตอร์ที่ไม่แฮงก์ เครื่องทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม พิมพ์งานได้สะดวกกว่าเดิมอีก"
"...หรืออยากจะลังเล รู้สึกเสียดาย ไม่กล้าทำอะไร กลุ้มใจต่อไปเรื่อยๆกับคอมพิวเตอร์ที่บู๊ตไม่ขึ้น ใช้งานไม่ได้ก็ตามใจนะ"
หลายคน ยึดติดกับสิ่งที่เคยมีมาในอดีต ทั้งผลงาน ความสำเร็จ ข้อมูล สิ่งสะสมที่มีมา แม้จะมีข้อผิดพลาด ปัญหา อุปสรรคบ้าง แต่ก็มองข้ามสิ่งเหล่านั้น
การสูญเสียผลงาน หรือข้อมูลบางอย่างไป มองอีกมุมหนึ่งก็เหมือนการได้ลบปัญหา ข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เหมือนปัญหาที่เกิดในคอมพิวเตอร์ที่สะสมมานานจนเครื่องบู๊ตไม่ขึ้น จึงเป็นโอกาสให้เราได้แก้ไขปัญหาแบบล้างเครื่อง ได้เครื่องใหม่ที่พร้อมใช้งานได้ดีเหมือนเครื่องที่ซื้อใหม่ๆ
คอมพิวเตอร์ของนายบอนก็พึ่งจะล้างเครื่องเหมือนกัน มีโอกาสได้ไปหาโปรแกรมใหม่ๆมาลองติดตั้งอีกครั้ง ได้ความรู้เพิ่มขึ้น
ในที่สุดแล้ว รุ่นน้องก็ตัดสินใจล้างเครื่องใหม่ ใด้ความรู้ในเรื่องเคล็ดลับในการดูแลรักษา windows เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่เคยเกิดขึ้น ได้ลงโปรแกรมป้องกันไวรัส สปายแวร์ ลบไฟล์ขยะ รู้จักวิธีการสแกนข้อมูลด้วย Check Disk, Disk Defragmenter และรู้วิธีกู้คืนระบบด้วย System Restore เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มเกิดปัญหา
ไม่ว่าเรื่องใดก็แล้วแต่ ชีวิตของเราอยู่กับเวลาปัจจุบันเท่านั้น
ทำวันเวลาในปัจจุบันให้ดีที่สุด
คลิปวิธีล้างเครื่องลงWindows XP ใหม่
ที่มา http://www.comtodaymag.com/?p=22
++++
ล้างเครื่องลงwindowsใหม่, ชีวิต, การตัดสินใจ
ศิลปินพันธมิตรกับการขายผลงานเพลงของตัวเองในปี ๒๕๕๓
++++
ดูรายการจอเหลือง กับการนำเอาเทปคอนเสิร์ต เปิดบัญชีทรัพย์สิน ที่จัดขึ้นที่ ม.รังสิต อาคารนันทนาการ
เมื่อ 19 ธ.ค.2552 เป็นการจัดคอนเสิร์ต เพื่อหารายได้ปลดหนี้ให้ เอเอสทีวี
เพราะการจัดรายการจอเหลือง ในรูปแบบที่พี่ตั๊ว ศรัณยูทำ ใช้เงินในการทำรายการมากพอสมควร
จนเป็นหนี้ก้อนโตกว่า 8 ล้านบาท
ลงทุนจัดคอนเสิร์ต ไป 1 ล้านกว่าบาท ได้กำไรกว่า 4 ล้านเศษ สามารถนำมาใช้หนี้ได้เกือบครึ่ง
คราวนี้ ภาระหนี้เบาขึ้นเยอะ
ดูในเทปคอนเสิร์ตที่เอามาเปิดให้ดู พี่ตั๊ว พูดถึงศิลปินพันธมิตร
อย่าง วง ก.ไก่ ซูซู เศก
พี่ตั๊ว คิดไว้ว่า น่าจะหาที่ยืนให้กับพวกเค้าบ้าง
แต่งเพลง ทำอัลบั้มเพลงออกมา จะวางขาย แต่สังคมยังไม่เปิดใจยอมรับ
เพราะถูกตราหน้าว่า เป็นพวกพันธมิตร พวกเสื้อเหลือง
จะวางขายอัลบั้ม ก็คงยากสักหน่อย
คนที่จะซื้ออัลบั้ม คงจะยาก ถ้าทำออกมาตอนนี้ ก็ไม่รู้จะขายที่ไหนยังไง
แต่ทว่า ทำเพลงเสร็จแล้ว รอจังหวะ หาที่วางขาย
ในตอนค่ำ ดูรายการคุยข่าวเล่าเพลง บรรเลงโดย แฮมเมอร์
2 พี่น้อง แฮมเมอร์ พูดคุยถึงเรื่องต่างๆ และโครงการในปีหน้า 2553
พวกเค้าบอกว่า ปีใหม่ คงจะมีผลงานเพลงออกมาวางจำหน่าย
คงจะเน้นขายเฉพาะกลุ่ม เพราะไม่มีสื่อ ไม่ได้สังกัดค่ายเพลงใหญ่ๆ ซึ่งอุดมการณ์และแนวทางไม่ตรงกันกับแฮมเมอร์
แฮมเมอร์จะทำอัลบั้มออกมา และจะใช้ช่องทางขายของเอเอสทีวี ที่มีระบบคอลเซ็นเตอร์
มีฐานข้อมูลลูกค้า มีระบบการจัดส่งสินค้า
แฮมเมอร์ จะใช้ช่องทางจัดจำหน่ายทางนี้ ใช้บัญชีระบบเดียวกัน ให้มีการกระจายสินค้า สร้างรายได้จากช่องทางนี้
จะว่าไปแล้ว กลุ่มเป้าหมาย พี่น้องพันธมิตรก็มีจำนวนมากเหมือนกันฃ
มีกำลังซื้อมหาศาล
ถ้ามีการประชาสัมพันธ์ดีๆ พี่น้องรู้ข่าว สามารถสั่งซื้อผลงานเพลงได้ง่าย ฟังง่าย
มีการจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตของศิลปินพันธมิตร มีรายการที่เปิดผลงานเพลงของศิลปินพันธมิตรบ้าง ช่องทางเหล่านี้ ก็น่าจะช่วยเหลือสนับสนุนกลุ่มศิลปินของพันธมิตรได้บ้าง
ตอนที่เลิกชุมนุม 193 วันใหม่ๆ ตอนนั้น เคยมีการจัดรายการสดในห้องส่ง มีการเปิดเวที ให้ศิลปินพันธมิตรมาแสดงสด ร้องเพลงในห้องส่ง มีศิลปินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร้องเพลง ทั้งศิลปินพันธมิตรที่รู้จักกันดี และที่มีคนรู้จักน้อย
แต่ช่วงนี้ รูปแบบรายการต่างๆ เปลี่ยนไป รายการที่มีก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ศิลปินพันธมิตรนำเสนอผลงานเพลงใหม่ๆบ้างเลย แต่ตามงานคอนเสิร์ตของพันธมิตรในต่างจังหวัด มีศิลปินมาตั้งโต๊ะขายแผ่นซีดี งานเพลงของตัวเองอยู่บ้าง ถ้าเป็นศิลปินที่หลายคนรู้จัก อย่างซูซู เศก ก็ขายดี แต่ศิลปินที่คนรู้จักน้อย ก็ขายยากพอสมควร......
ภายในบริเวณงาน ก็มีของที่ระลึกวางขายอยู่มากมาย ศิลปินพันธมิตรก็ลำบากเหมือนกัน.....
ฟังจากรายการของแฮมเมอร์แล้ว น่าจะหาทางส่งเสริมให้ศิลปินพันธมิตรมีพื้นที่ยืนอยู่ได้บ้าง สามารถนำเสนอผลงาน วางขายได้ แม้จะไม่มีการชุมนุมในแบบ 193 วัน แต่พี่น้องก็น่าจะมีโอกาสได้ฟังเพลงใหม่ๆ ผลงานใหม่ของศิลปินพันธมิตรบ้าง เพราะแต่ละคน เขียนเพลงดีๆน่าฟังทั้งนั้น
ถ้ารอให้ศิลปินตกที่นั่งลำบาก แล้วจึงเกิดกระแส มารวมตัวกันช่วยเหลือกันเป็นครั้งๆไป เหมือนอย่างการจัดคอนเสิร์ตเปิดบัญชีทรัพย์สิน ศิลปินพันธมิตรคงจะย่ำแย่มากขึ้น น่าจะหาช่องทาง หาพื้นที่ เปิดรายการให้ศิลปินพันธมิตรได้นำเสนอผลงานเพลงใหม่ๆให้พี่น้องได้ฟังกันบ้างนะครับ
++++
ศิลปินพันธมิตร
ความปรารถนาของสุวิทย์ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๒๕๕๓
เหลืออีกไม่กี่วัน ก็จะผ่านพ้นปี พ.ศ.๒๕๕๒ หลายคนมีโครงการดีๆที่อยากจะทำในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่น่าสนใจหลายอย่าง ฟังๆดูแล้ว ถ้าทำได้ทุกอย่าง คงจะดีทีเดียว
+ + + +
ถามเพื่อนคนแรก ส่งท้ายปีเก่าอยากจะไปเที่ยวพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ อยากไปขึ้นเขารับลมหนาวทางภาคเหนือ ดูดอกไม้สวยๆ ดูพระอาทิตย์ขึ้นรับวันใหม่
เพื่อนคนที่สองบอกว่า เก็บเงินมาตลอดทั้งปี ตั้งใจจะใช้เงินเที่ยวปีใหม่ให้คุ้มเลย ชาร์ทแบตให้ตัวเองก่อนจะกลับมาลุยงานกันต่อไป
เพื่อนคนที่สามบอกว่า ปีใหม่คงจะเหมือนทุกๆปี มีปาร์ตี้ฉลองกับเพื่อนๆ ญาติพี่น้องที่บ้าน ไม่ต้องไปไหนไกลๆให้เสี่ยงอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ แต่อาจจะพาญาติพี่น้องไปวัดทำบุญบ้าง
เพื่อนอีกคนขออยู่กับคนรัก ในช่วงเวลา Countdown เข้าสู่ พ.ศ.ใหม่ ส่วนจะไป countdown ที่ไหน ขอตกลงกับคนรักก่อน
เพื่อนอีกคน ทำงานใน กทม. บอกว่า ปีใหม่คงต้องเดินสายเยี่ยมญาติ เอาของฝากไปให้ 1 ปีได้กลับบ้าน 2 ครั้ง จึงต้องเดินสายเยี่ยมญาติตลอด
คนสุดท้ายที่ถามไถ่คือ เพื่อนที่ชื่อ สุวิทย์ ที่เคยเป็นการ์ดพันธมิตรนี่เอง... ปีใหม่ ไม่ได้ขออะไรมากนัก
"แค่อยากทำให้แม่มีความสุข ยิ้มกว้างๆสบายใจ แค่นี้ก็พอแล้ว"
เป็นความปรารถนาในช่วงวันปีใหม่ที่ไม่เหมือนใคร สุวิทย์ยอมรับว่ายังไม่เคยทำอะไรให้แม่รู้สึกภูมิใจ สุขใจเลย ที่ผ่านมา แม่คอยเป็นห่วงอยู่ตลอด คอยปลอบใจ ให้กำลังใจ และทุกข์ใจไปกับเขาตลอดมา
ปีใหม่นี้ สุวิทย์ขอแค่ทำให้แม่ยิ้มกว้างๆ มีความสุข สบายใจ เท่านี้จริงๆ
ขอให้สมหวังในวันปีใหม่นะเพื่อน
++++
ความปรารถนา, ปีใหม่๒๕๕๓
ความหวังดีของคนเลวในสายตานักวิชาการนักวิชาการผู้เป็นกลางทางการเมือง
"จอย เข้าบ้านเดี๋ยวนี้ เลิกยุ่งกับมันได้แล้ว บ้านเมืองวุ่นวายก็เพราะพวกมัน" ชายวัยกลางคนคว้ามือของน้องสาวเดิเข้าบ้านทันที หนุ่ม "กุ้ง" เลยต้องเดินหน้าจ๋อยจากมา
ดูเหมือนความรักของกุ้ง จะมีอุปสรรคเหลือเกิน กุ้งเป็นแค่พนักงานบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งในขอนแก่น คบหากับจอยมาได้ 2 ปี ตอนแรก พี่ชายของจอยไม่ว่าอะไร แต่พอรู้ว่ากุ้ง เป็นพวกเสื้อเหลือง เป็นพวกพันธมิตร พี่ชายของจอยพยายามขัดขวางทุกทาง บอกให้จอยเลิกคบกับกุ้ง แต่จอยก็ยังหาโอกาสพบกับกุ้งอยู่บ่อยๆ เคยตามกุ้งไปชุมนุมกับพันธมิตรที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงที่พี่ชายบินไปประชุมที่ต่างประเทศหลายครั้ง และจอย ก็เลือกข้าง พันธมิตร !!!
+ + + +
ถึงแม้พี่ชายของจอยจะห้ามยังไง แต่จอยยังหาโอกาสมาเจอกุ้งได้เหมือนเดิม พี่ชายซึ่งเป็นนักวิชาการ งานค่อนข้างเยอะพอดู แต่พี่ชายมักจะเตือนจอยอยู่เสมอๆ อย่าเข้าไปร่วมขบวนการทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไปกว่านี้ ที่ไทยมีปัญหากับเขมรก็เพราะพวกเสื้อเหลืองไปก่อเรื่องขึ้นมา ไปบุกเขาพระวิหารเมื่อ กันยายน 2552 แถมมี รมต.ต่างประเทศที่ก่อเรื่องขึ้นมาอีก จนเป็นเหตุลุกลามใหญ่โตจนถึงทุกวันนี้
จอยเอาคำพูดของพี่ชายไปพูดให้กุ้งฟัง กุง้ได้แต่ส่ายหน้า พี่ชายของจอยไม่สนใจติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองบ้างเลย ถ้าทักษิณไม่ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน ก็ไม่มีใครอยากออกมาเคลื่อนไหวให้เสียเวลาหรอก
ช่วงที่มีข่าว นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ถูกจับกุมในเขมรจนเป็นข่าวใหญ่โต จนมาถึงกรณีที่ตุ๊ดตู่ จตุพร เอาเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศมาเปิดเผย พี่ชายของจอยก็สรุปทันทีว่า ต้นเหตุเพราะพวก พธม. และ ปชป.นี่แหละ ไปหาเรื่องเค้าไว้ก่อนจนเดือดร้อนกันไปทั้งประเทศ
"ตกลงพี่ชายของคุณเป็นกลางจริงเหรอ ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคนเสื้อแดงทกุอย่างเลยนะ"
"พี่ของจอยไม่เคยดูทีวีช่อง นปช.เลยนะ"
"เห็นบอกว่ารู้จักกับ ส.ส.ขอนแก่นที่ชอบเป่าแคนน่ะ ไม่ใช่เป็นพวกเดียวกันเหรอ"
จอยเคยเอารูปถ่ายพี่ชายของเธอ ถ่ายรูปหมู่ในงานหนึ่ง ที่มีอดิศร เพียงเกษ อยู่ด้วย
เปิดวิทยุฟังในพื้นที่ ได้ยินดีเจวิทยุชุมชนคลื่นหนึ่ง พูดจาปลุกเร้า โหมโรงถึงวันโค้นอำมาตย์ พูดปลุกระดมทุกวัน คนเสื้อแดงที่มานั่งกินกาแฟ คุยกันเรื่องการเมือง ก็ด่า อำมาตย์ๆๆๆๆๆๆ ด่า ปชป. พธม. กกต. ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง เจ้าของร้ายยกทีวีมาตั้งบนโต๊ะหน้าร้าน เปิดทีวีช่อง นปช.แช่ไว้ คนขายนั่งดูทีวีไป ใครมาซื้อของก็รับตังค์ ทอนตังค์อยู่ตรงนั้น ชวนคุยเรื่องการเมืองไป มีสินค้าคนเสื้อแดงขาย มี นสพ.เรดนิวส์ ความจริงวันนี้ให้อ่านด้วย
หลายคนที่เป็นคนเสื้อแดง เมื่อติดตามข่าวจนรู้ว่า ทักษิณใช้เขมรมาทำลายเมืองไทย จตุพรก็บิดเบือน เล่นเกมการเมืองทำให้ประเทศชาติเสียหาย หลายคนจึงพยายามถอยห่าง เลิกเป็นคนเสื้อแดง แต่เพราะบ้านอยู่ในชุมชนนั้น เจอการปลุกระดม โหมโรงถึงวันชุมนุมใหญ่โค่นอำมาตย์แล้ว ก็ชักหวาดกลัวขึ้นมาทันที แต่ย้ายไปไหนไม่ได้ เพราะญาติพี่น้องอาศัยอยู่ในชุมชนนั้น
ปากทางเข้าบ้านของจอย ต้องผ่านชุมชนนั้นเช่นกัน เห็นความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงตลอด พี่ชายของจอยก็เห็น และสั่งจอยว่า อย่าไปยุ่งกับคนในชุมชน อย่าไปเลือกข้างสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองเหมือนไอ้พวกเสื้อเหลืองนั่น
"พี่ชายของจอย ไม่รู้รึไงว่า คนแถวนั้น เสื้อแดงทั้งนั้น มาเหมาว่าเป็นคนเสื้อเหลืองได้ยังไงวะ"
"พี่ของจอยบอกว่า ดูในทีวี เห็นพวกเสื้อเหลืองก่อความรุนแรงมาตลอด ไม่ค่อยเห็นเสื้อแดงทำเลว"
"ดูแต่ฟรีทีวีล่ะสิ ช่วง เมษา52 พี่ชายของจอยไม่ได้ดูข่าวเหรอ ทีวีที่บ้านเสียรึไง"
"พี่ไปประชุมที่ต่างประเทศค่ะ"
กุ้งได้แต่ถอนใจ พี่ชายจอยไม่เคยดูข่าวพวกเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองเลย กุ้งเลยไปปรึกษาคุณวิรัตน์ ขอนแก่น จนได้ วีซีดี หนังสือ แดงทักษิณ เจ๊งทั้งแผ่นดิน, เอกสารเรื่องล้มเจ้า, ข่าวทักษิณจาบจ้างสถาบัน ฯลฯ รวบรวมมาให้จอยเอาไปให้พี่ชายดูมั่ง จะได้หูตาสว่างขึ้น
แต่พี่ชายของจอยไม่เคยดู ไม่เคยอ่าน บอกว่า ไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของสีใด
วิทยุชุมชนในพื้นที่ปลุกระดมหนักยิ่งขึ้น บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ รอวันโค่นอำมาตย์... รายการวิเคราะห์การเมืองใน ASTV ก็จับสัญญาณและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของกองทัพแดงไว้เช่นกัน ฝ่ายเสื้อแดงกำลังพยายามทำให้เกิดสงครามกลางเมือง มีการเตรียมจัดหาอาวุธไว้เตรียมลุยฝ่ายตรงข้าม หน่วยพยาบาลภาคสนาม RSR ของคนเสื้อแดง ขอรับบริจาค เวชภัณฑ์ต่างๆ เตรียมไว้รับศึกใหญ่ สัญญาณต่างๆบอกว่า "มันเอาเราแน่"
กุ้งกับจอย ไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายๆในบ้านเมืองในช่วงปีใหม่ อยากให้เมืองไทยสงบสุขบ้าง กุ้งเคยบอกจอยให้พูดกับพี่ชายของเธอ ช่วยพูดเตือนสติ อาจารย์-นักวิชาการเสื้อแดงที่พี่ชายของจอยรู้จัก อย่าได้เคลื่อนไหวทำลายประเทศชาติ
แต่พี่ชายของจอย มักจะพูดว่า เลิกคบกับคนเลวๆอย่างกุ้งได้แล้ว
ในสายตาของพี่ชายจอย กุ้งเป็นแค่คนเลวๆคนหนึ่งเท่านั้น คงเทียบไม่ได้กับคนดีๆของพี่ชายจอย ที่เป็นนักวิชาการคนเสื้อแดง ที่ออกมาร่วมชุมนุมปลุกระดม วันโค่นอำมาตย์
...
.....
.......
ทำใจเถอะกุ้ง เลิกหวังกับนักวิชาการที่เป็นพี่ชายของแฟนได้แล้ว ถ้าเค้ามองว่า เสื้อแดง นปช. ทักษิณ จตุพร ทำถูก เค้าก็เลือกข้างเสื้อแดงแล้วล่ะ
+++
สังคม, การเมือง
เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร เปลี่ยนนรกเป็นสวรรค์ด้วยมือตัวเอง....
แค่เราเปลี่ยนทัศนคติ จากการมองโลกในแง่ร้ายให้กลายเป็นการมองโลกในแง่ดี เราจะพบว่า ตัวเราเองสามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองได้ อย่างเรื่องเล็กๆ จากกาฬสินธุ์เรื่องนี้
++++
มี ๒ ครอบครัวในคุ้มวัดแห่งหนึ่ง ครอบครัวแรกเจ้าของบ้านมีอาชีพขับสามล้อรับจ้าง อีกบ้านเป็นนางพยาบาล น้องชายคนขับรถสามล้อ แอบเข้าไปขโมยสิ่งของในบริเวณบ้านของนางพยาบาล จนถูกจับได้ นางพยาบาลมาฟ้องคนขับรถสามล้อ จะเอาเรื่อง น้องชายก็แก้ตัวกับพี่ชาย แรกๆ พี่ชายก็คอยตักเตือนและรับปากว่าจะดูแลอบรมน้องชายให้ดี แต่น้องชายก็แอบไปขโมยของอีก นางพยาบาลก็มาฟ้องอีก และไปฟ้องคนอื่นด้วย จนคบขับสามล้อไม่พอใจที่นางพยาบาลหาเรื่องน้องชายของเขา จนเกิดความขัดแย้งกัน
ครั้งหนึ่ง คนขับรถสามล้อ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เจอนางพยาบาลคู่กรณี เขาแสดงอาการท้าทาย ไม่ยอมกินยา แต่นางพยาบาลยังคงทำหน้าที่ดูแลอาการป่วยของคนขับสามล้อเป็นอย่างดี แล้วพูดว่า คนขับสามล้อเป็นคนดี น่าคบหา ใจกว้างขวาง ดังนั้น จะไม่ยอมให้เขามาแสดงบทบาทเป็นคนหัวดื้อกับเธออย่างเด็ดขาด
คนขับรถสามล้อเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป จน 2 ฝ่ายเปิดใจพูดกัน นางพยาบาลอยากให้เขาคอยดูแลเอาใจใส่น้องชาย เพราะกลัวน้องชายจะขโมยของเพื่อเอาไปทำอะไรสักอย่าง กลัวว่าจะติดยา จะได้ป้องกันไว้ก่อน เปิดอกคุยกันแล้ว 2ครอบครัวก็เข้าใจกันมากขึ้น คนขับสามล้อกับนางพยาบาล กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
หากเกิดความขัดแย้ง เป็นศัตรูกัน มีความโกรธ เกลียด พยาบาท หาทางบ่อนทำลายกันไป ต่างฝ่ายยิ่งจะคั่งแค้นกันมากขึ้น หวาดระแวงว่า จะโดนอีกฝ่ายเอาคืน ไม่ว่าจะผ่านไป 2ปี 3ปี 5 ปี หรือ 10 ปี.....
....เดี๋ยวนี้ คนเราเป็นศัตรูกัน ขัดแย้งกันมากขึ้น เพราะการมองโลกในแง่ร้าย ผลประโยชน์ และการเชื่อคำพูดของคนอื่นที่ยุยงให้ขัดแย้งกันมากขึ้น เพราะอยากให้อีกฝ่ายยอมรับ และเปลี่ยนทัศนคติก่อน แต่ถ้าตัวเราเองเปลี่ยนทัศนคติก่อน ทุกอย่างจะง่ายกว่า....
...เปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า เปลี่ยนคนอื่น
...เมื่อเปลี่ยนวิธีคิดแล้ว จากศัตรูกลายเป็นมิตร มีโอกาสทำความรู้จักเค้ามากขึ้น จะเข้าใจเหตุผลในชีวิตของเขามากขึ้น
จากที่เป็นศัตรูคู่ขัดแย้งกัน จากที่คอยจับผิด ตราหน้า ด่า ประจาน ซึ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บแค้นเพิ่มขึ้น จนถึงช่วงเวลาที่ทนไม่ไหว ก็จะหาโอกาสเอาคืน เรื่องจึงไม่จบสักที แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นมิตร ก็ไม่ต้องคอยหวาดระแวง แต่ต่างฝ่ายต่างคอยช่วยดูแลกันและกัน ....คนทุกคนมีทั้งความดีและความไม่ดีอยู่ในตัว แต่นางพยาบาลเลือกที่จะให้อีกฝ่ายได้แสดงออกในด้านดี ทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าเดิม
++++
ข้อคิด, ชีวิต
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552
รถไฟสายเศร้า-ความรัก-ความห่วงใย-ผิดที่-ผิดทาง
รถไฟสายเศร้า-ความรัก-ความห่วงใย-ผิดที่-ผิดทาง
ออกเดินทางเย็น 4 ธ.ค. ทีแรกเธอจะเข้า 5 ธ.ค. แต่นายบอนท้วงว่า นั่งรถไฟกว่าจะถึง เด็กๆจะเหนื่อย น่าจะมีเวลาให้เด็กๆพักมั่ง เธอจึงตัดสินใจไป4ธค. ไปจองตั๋วรถไฟ รถเร็ย 20.28 น. จากบุรีรัมย์-กรุงเทพ ซื้อตั๋ว 5 ใบ 177 บาท/คน นายบอนเดินทางจากบ้าน 15.00 น. มาถึงบุรีรัมย์ 20.00 น. พอดี เดินมาที่สถานีรถไฟ ซื้อแซนวิช+น้ำเเปล่า 1 ขวด ทานเป็นข้าวเย็น แต่ซื้อข้าวกล่องบนรถไฟ 20 บาททานรองท้องไปด้วย ส่วนเธอ ก็มาซื้อลูกชิ้น-ขนม-แซนวิช-น้ำ เป็นอาหารเย็นให้ลูกๆเธอ
รถไฟมาถึงตอน 20.30 น. เธอ +ลูกๆ ช่วยกันถือสัมภาระขึ้นรถไฟตู้ที่ 3 นายบอนก็ถือกระเป๋สเสื้อผ้า 2ใบ ของเธอตามขึ้นไป เธอถือตั๋วรถไฟเดินหาที่นั่งตามหมายเลข ที่นั่งเบอร์ 34 หนึ่งที่ติดหน้าต่าง ให้นายบอนนั่งตรงนี้ อีก 4 ที่อยู่แถวถัดไป เธอนั่งกับลูกๆ สักพักก็ขอแลกที่นั่งกับคนอื่นให้เธอกับลูกๆ 3 คนมานั่งใกล้กัน
พอรถจอดระหว่างสถานี ก็เอาผ้าคลุมหน้าออก มองดูเธอกับลูกๆ เป็นระยะๆ เธอคอยดูแลลูกๆ จัดที่ให้นอน คอยห่มผ้า บางช่วงเธอก็หันมามองนายบอน บอกให้ผิดหน้าต่างรถ ก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะมันปิดไม่ได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วรถไฟ เดินมาปิด ก็ปิดไม่ได้
มาถึงสถานีรังสิต เธอกับลูกๆก็ตื่น เก็บสัมภาระเตรียมตัวลง มาถึงสถานีรถไฟบางเขน นายบอนก็เดินไปช่วยถือกระเป๋า 2 ใบของเธอ เดินนำมารอที่ประตูทางลง ถึงบางเขนตอนตี 4 ลงจากรถไฟก็เดินมาที่สะพานลอยข้ามถนน มังกรกับไมกี้ ค่อยๆเดินบนสะพานลอย กลัวจะพังลงมา เพราะดูสูง ทำเอาเธอหัวเราะ ที่ลูกๆเธอกลัวถึงขนาดนั้น กว่าจะข้ามฝั่งมาได้ ดูเหมือน 2 หนุ่มน้อยเกร็งมาตลอดทาง ดูแล้วก็น่าตลก แต่คิดอีกที ทั้ง 3 คนน่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้ พบเจออะไรมากกว่านี้ ดูเหมือนตอนนี้ ลูกของเธอเหมือนนกน้อยในกรงทางมากเกินไป คนเป็นแม่ดูเหมือนจะดุ คอยห้ามคอยระวังไปซะเกือบทุกอย่าง บางเรื่องน่าจะให้ลูกๆได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตบ้าง โดยอยู่ในสายตาของเธอ ดีกว่าให้พวกเค้าไปเรียนรู้หลายอย่างโดยที่เธอไม่รู้เรื่องเลย
เธอรู้สึกตัว โทรมาตอน 2 โมง บอกให้ไปดุ ไปจองห้องพักรายวันตรงปากซอย นายบอนเดินผ่านกับโจ แวะถามดูแล้ว ห้องแอร์ 600 ห้องพัดลม 400 เดี๋ยวให้เธอตื่น ค่อยมาจอง แต่เธอบอกว่า ให้นายบอนไปจอง จะให้นอนพักค้างคืน คนเดียว เธอกับลูกจะนอนที่นี่ (ห้องพ้กของน้องสาว) นายบอนจึงบอกไปว่า งั้นก็ไม่นอน เพราะไม่อยากนอนคนเดียว
ช่วงสาย รอ ร้อ รอ จน 3 โมงเช้า เธออาบน้ำ แต่งตัวให้ลูกๆเสร็จ พาลงมาหากินข้าว สั่งข้าวเหนียว ส้มตำ ปิ้งตับ-ไก่ จากคนขายคนสารคาม-เพชรบูรณ์ ขึ้นมากินบนห้อง ดูทีวี คุยกันไป ปหั่นผ้าไป 11.00 น. เห็นข่าวในทีวี ในหลวงยังไม่เสด็จออกมหาสมาคม ก็เลยจะไปสนามหลวง เธอบอกว่า คงจะรอที่นี่ เพราะแดดร้อน เด็กๆคงไปไม่ไหว นายบอนเลยไปคนเดียว บอกว่า พบกันตอนเย็น ดูเหมือนท่าทางเด็กๆอยากไปเที่ยวด้วย
เดินมากจนปวดขา ปวดหลัง เพลียตั้งแต่บ่าย 2 แถมไม่ได้นอนเต็มอิ่ม
เดินมาดูโปรแกรมการจัดงาน เพียบเลย โทรไปบอกเธอ บอกให้รีบออกมา กะเวลาไว้ละกัน เพราะมีอะไรให้ดูเยอะมาก ดูไม่หมดหรอก
เธอก็พูดเสียงดังอารมณ์หงุดหงิด ก็จะไปดูให้หมดทุกอย่างน่ะแหละ เดี๋ยวค่อยออกไป
เธอบอกจะเข้ามาทางนางเลิ้ง ไปลานพระรูป ดูท่าทางจะหากันเจอยาก เพราะคนเยอะมากๆ ในตอนนั้น
ช่วงจุดเทียนชัย ตอน 19.20 น. นายบอนแวะเข้าไปนั่งพักในธนาคารออมสิน สาขาราชดำเนิน อยู่ดูจุด
พลุเฉลิมพระเกียรติจน 2 ทุ่ม เดินไกลไม่ไหวจริงๆ ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย โทรหาเพื่อน พี่ มีทั้งที่กลับบ้าน โทรไม่ติด เลยไม่รู้จะไปค้างที่ไหน หอพักรายวันก็ไม่ได้จองไว้
ตั้งใจฝืนทน คืน 5 ธค. ตั้งใจจะหาที่นั่งดูการแสดงโต้รุ่งที่สนามหลวง แต่เหนื่อย เพลียมากๆ อดนอนมาด้วย ถ้าหลับคงหลับยาว ตื่นไม่ทันรถไฟเที่ยวที่เธอจะพาลูกๆกลับ
ทั้งหนื่อย เพลีย ปวดหลัง ปวดขา ทำให้หงุดหงิดง่าย พอเธอโทรมาด้วยเสียงหงุดหงิด ไม่พอใจ ก็ชักหงุดหงิดเหมือนกัน ตอนเธอ SMS บอกว่า พาเด็กๆกลับแล้วนะ ความรู้สึกหนึ่ง เหมือนถูกทิ้ง ตอนนั้นก็ไม่มีที่นอน เพื่อน พี่ไม่อยู่ อยากทนรอเธอถึงเที่ยงอีกวัน ก็ไม่แน่ใจว่าจะไหวหรือเปล่า ที่จะต้องนั่งรถไฟไปส่งเธอในวันที่ 6 และกลับถึงบ้านตอนบ่ายๆ 7 ธค
จาก 4-5 ทุ่ม เธอโทรมาอีกหลายครั้ง แต่ไม่รับสาย เพราะแบตมือถือจะหมดแล้ว เดี๋ยวไม่มีนาฬิกาให้ดู เธอกดโทรมาอีก ต้องกดวางสายหลายครั้ง กลัวโทรศัพท์จะดับ แต่อีกมุมหนึ่งก็น้อยใจ เธอทิ้งเรากลับไปเฉยเลย แต่เราก็บอกเธอเองว่า จะไปนอนที่อื่นนี่นา
ขึ้นบนรถ ก็ยังปวดๆ เพลียๆอยู่ รอออกจากหมอชิตตามเวลา วิ่งผ่านสถานีรถไฟบางเขน มองสะพานลอยที่เดินข้ามตอนมาถึง นึกแล้วเศร้า เสียใจที่ต้องทิ้งเธอกลับบ้านก่อน แล้วก็หลับไป
....
กลับมานั่งนึกดู ก็ได้แต่เสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ถ้าอดทนได้อีกนิด อีกไม่กี่ชั่วโมง
คงไม่เป็นแบบนี้ ...
.. ดูแล้วเหมือนเธอพาลูกๆไป กลับกันเอง
นึกถึงวันที่ออกเดินทาง
เธอซื้อตั๋วรถไฟให้ก่อน
ยังไม่ได้เอาเงินค่าตั๋วให้
เลยไปค้นเลขที่บัญชี ธ.กรุงไทยของเธอ
10 ธ.ค. เลยโอนเงินค่าตั๋วไปให้ 200 บาท
ตอนมา นั่งรถไฟมาด้วยกัน
แต่ขากลับ เธอกลับกับลูกๆ โดยไม่มีเรามาด้วย
!!!
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เก็บตกภาพ+วิดีโอ บรรยากาศงาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
นายบอนมีโอกาสได้ไปชมงาน 5 ธ.ค. ใน กทม. ที่จัดอยางยิ่งใหญ่ ที่สนามหลวง , ถนนราชดำเนิน และที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
ตั้งใจจะไปชมให้ครบทุกที่ แต่สามารถเดินชมได้ เพียง 2 ที่ คือ สนามหลวง และถนนราชดำเนิน ก็แทบหมดแรงซะแล้ว เดินจนปวดขา
แต่เท่าที่ได้ชมด้วยตา ก็เก็บภาพบรรยากาศแห่งความทรงจำหลายมุมทีเดียว
เดินทางมาถึงสนามหลวง โดยลงจากรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน แล้วต่อรถเมล์สาย 1 ถนนตก-ท่าช้าง มาลงที่สนามหลวงในตอนบ่ายโมง นายบอนแวะที่โรงทานริมสนามหลวงก่อนเลย
ข้างโรงทาน มีหุ่นขี้ผึ้ง หลวงปู่ทวด ที่หลายคนให้ความสนใจ แวะเข้าไปกราบไหว้ ถ่ายรูปกัน
โรงทานมีอาหารหลายอย่าง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ผัดไท น้ำ ขนม แต่แถวยาวทุกที่
บรรยากาศที่โรงทานวัดพิชัยญาติการาม ที่สนามหลวง ที่ตักอาหารไป เปิดเพลง ร้องเพลง เต้นกันไป สร้างความคึกคักไปทั่วบริเวณ แถมอาหารก็อร่อยอีกด้วย
เดินชมเต๊นท์ที่ริมถนนราชดำเนินช่วงบ่าย 2 โมง มีซุ้มให้เขียนคำถวายพระพร หลายจุด เลยได้แวะแทบทุกจุด
ที่ใช้เวลาเดินชมเพลิน เพราะมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่หาชมได้ยากในซุ้มต่างๆ หลายคนหยิบโทรศัพท์ และกล้อง ออกมาถ่ายภาพกันพรึบพรับไปหมด นายบอนก็ไม่พลาด เก็บความทรงจำเหล่านี้เอาไว้
กำหนดการจัดกิจกรรมในบริเวณต่างๆภายในงาน
อีกมุมที่หลายคนไปถ่ายภาพ
เดินจนเมื่อย เลยแวะเข้าธนาคารออมสิน ที่เปิดพิพิธภัณฑ์ออมสินให้ชม เข้าไปรับแอร์เย็นๆ และชมหลายสิ่งในนั้นด้วย
ปฏิทินปีใหม่ 2553 ของธนาคารออมสิน
เดินออกมาชมบริเวณริมถนน มีอีกหลายซุ้มที่มีภาพหายากให้ถ่ายเก็บไว้อีกเพียบ
อีกจุดหนึ่งที่จัดไว้เป็นถนนคนเดิน ริมถนนราชดำเนินนั่นเอง
การแสดง Laser Multi Vision Light & sound แสงพระบารมี ผสานไทย สมานฉันท์
ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 5 ธ.ค.2552
ระหว่างรอนั่งชมการแสดง Laser Multi Vision Light & sound แสงพระบารมี ผสานไทย สมานฉันท์ ก็มีคุณป้าเอาล็อตเตอรี่มาขาย บอกว่า เป็นเลขดี วันดี ซื้อให้เถอะนะ เฮงๆๆๆ
เลยช่วยคุณป้าซื้อไว้ ถูกหรือเปล่าไม่รู้ ซื้อไว้งั้นแหละ
คลิปวิดีโอบรรยากาศต่างๆในวันนั้น
น้ำพุดนตรี ริมถนนราชดำเนิน งาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
น้ำพุดนตรีอีกจุดหนึ่ง ริมถนนราชดำเนิน งาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
นาฏศิลป์ที่เวทีของกระทรวงแรงงาน ริมถนนราชดำเนิน งาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
ช่วง 19.46 น. หลังการจุดเทียนชัยภวายพระพรเสร็จสิ้น มีการจุดพลุเฉลิมพระเกียรติ นายบอนยืนชมพลุที่บนชั้น 2 ของธนาคารออมสิน สาขาราชดำเนิน จากหน้าต่าง
จุดหัวใจถวายพระพร
ริมถนนราชดำเนิน งาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
น้ำพุไฟ ริมถนนราชดำเนิน งาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
การแสดงขบวนรถประดับไฟเฉลิมพระเกียรติ ริมถนนราชดำเนิน งาน ความสุขของคนไทยใต้แสงพระบารมี ที่ ถ.ราชดำเนิน กทม เมื่อ 5 ธ.ค.2552
นายบอนชมงานจนถึง 6 ทุ่ม เดินๆนั่งๆเพราะปวดขา ปวดหลัง แล้วหารถเมล์ฟรีกลับหมอชิตตอน 6ทุ่ม เบียดผู้คนเป็นปลากระป๋อง ถึงหมอชิต 1.20 น. ซื้อตั๋วไปโคราช 1.40 น. ต่อรถไปขอนแก่นเที่ยวแรก 4.50 น. ถึงขอนแก่น 7.25 น. ต่อรถกลับถึงกาฬสินธุ์ 9.20 น.
แล้วหลับเกือบทั้งวันที่ 6 ธ.ค.2552