วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความรัก อุดมการณ์ ลาบเลือด กับการตามแฟน นปช.มาชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ



           
   
        ถึงแม้คนไทยจะมีความคิดแตกต่างกัน
ความขัดแย้งมีมากขึ้น ถึงจะเป็นคนละกลุ่ม คนละสี
แต่ด้วยความเป็นพี่น้องนามสกุลเดียวกัน คุณโอ๋ โคราช ซึ่งเป็นการ์ด พธม.
จึงคุยกับญาติรุ่นน้องที่ชื่อ จัน ซึ่งมีแฟนหนุ่มเป็นคนเสื้อแดง
จันเลยต้องเป็นคนเสื้อแดงตามแฟนไปด้วย เมื่อแฟนหนุ่มเข้าไปชุมนุมกับ 3
เกลอหัวขวด จันจึงต้องติดตามไปด้วยกัน

            ความจริงแล้ว
จันก็ไม่ได้ชื่นชอบทักษิณ จันชอบมาคุยกับคุณโอ๋ โคราช
ติตตามข้อมูล-เรื่องราวของพันธมิตรมากกว่า แต่เมื่อคนรัก
เลือกเป็นเสื้อแดง ก็เลยตามใจแฟน เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกัน

 ... ที่บ้านของจัน เปิดเป็นร้านขายอาหารอีสาน
จันทำงานเป็นลูกมือของพ่อ-แม่ ช่วงที่ไปชุมนุม
จันได้ช่วยทำอาหารให้แฟนได้กินอยู่ตลอด

+ + + +

           
12-14 มี.ค.2553 ช่วงที่ นปช.นัดรวมพลชุมนุมใหญ่  จัน
จึงตามแฟนหนุ่มเข้า กทม. เมื่อ 13 มี.ค.  ตอนอยู่บ้าน
แฟนของจันดูเป็นคนเรียบร้อย ดูแลเอาใจใส่จันเป็นอย่างดี
แต่พอมาชุมนุมกับคนเสื้อแดง ดูเขากลายเป็นคนละคน ก้าวร้าวมากขึ้น
 วันที่ยกพลไปที่กรมทหารราบที่ 11 แฟนของจัน ชูหัวใจตบ
โห่ร้องได้ตลอด พอกลับมาที่ถนนราชดำเนิน จันก็นั่งฟังปราศรัยอยู่ข้างๆแฟน
คอยชูป้ายบ้าง ลุกขึ้นเต้นตามเสียงเพลงข้างๆแฟนบ้าง ช่วงเช้า
แฟนหนุ่มจะพาจันมานั่งใกล้ๆหน้าเวที เพือจะได้ออกทีวีช่องเสื้อแดง
ซึ่งแฟนหนุ่มมักจะโทรไปที่บ้าน บอกให้คอยดูเขาออกทีวี



   
        จัน
มีญาติพี่น้องเข้ามาทำงานและพักอยู่แถวบางลำภู เลยได้ไปอาศัยนอนพัก
อาบน้ำที่นั่น ช่วยทำอาหารอีสานให้ญาติกับแฟนได้กิน
หลังวันที่กลับมาจากกรมทหารราบที่ 11 เมื่อตื่นเช้ามาอีกวัน
จันเข้าครัวแต่เช้า จะโชว์ฝีมือทำแกงหน่อไม้ ทอดหม่ำ และทำลาบไก่
เห็นขวดใส่เลือด ก็เลยยกออกมาเทใส่ถ้วย เตรียมเอามาทำลาบเลือดให้แฟนกิน

   
        แฟนอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ
เข้ามาในครัว เห็นจันเทเลือดใส่ถ้วย เลยดุจันเข้าให้ บอกว่า
เลือดไก่ในขวดจะเอาไปให้เพื่อน จันถึงกับอึ้ง!!


            "วันนี้เค้านัดบริจาคเลือดไพร่ ล้านซีซีไปเทที่ทำเนียบ อย่าบอกนะว่า......"
   
        แฟนหนุ่มไม่พูดอะไร
ถือขวดเลือดใส่ถุงเดินออกไป ส่งให้เพื่อนเสื้อแดงที่มารออยู่หน้าที่พัก

   
        วันนั้น มีการระดมพล
เข้าคิวบริจาคเลือดของไพร่ เอามารวมกัน
 แฟนของจันเข้าไปลงชื่อให้เลือด
เพื่อใช้ในการต่อสู้กับคนเสื้อแดงด้วย แต่จันบอกว่า เธอไม่ค่อยสบาย
ร่างกายไม่พร้อมเลยขอให้กำลังใจ หลังจากแฟนของจันถูกเจาะเลือดไป 10 ซีซี ดูท่าทางเขาภูมิใจมากๆ เดินมาบอกจันว่า เขาได้หลั่งเลือดเพื่อประชาธิปไตยแล้วนะ

            จันเคยไปบริจาคเลือดให้กับกาชาดจังหวัดหลายครั้ง
เมื่อรู้ว่า การบริจาคเลือดครั้งนี้ เพื่อเอาไปเททิ้ง
จันก็รู้สึกสะอิดสะเอียน นึกถึงภาพเหตุการณ์อุบัติเหตุ
รถชนกันใกล้บ้านของเธอที่โคราช มีคนเจ็บตาย เลือดนองเต็มพื้นถนน
 เมื่อแกนนำคนเสื้อแดงจะเอาเลือดจำนวนมากไปเท
จันนึกถึงภาพความสยองของอุบัติเหตุในครั้งนั้น
 แต่เธอก็ตามขบวนไปทำเนียบ แต่อยู่แถวหลัง
ใครอยากไปดูการเทเลือดก็ไป...


   
        วันต่อมา เมื่อแกนนำ
นปช.ขึ้นพูดบนเวที ด่าสื่อมวลชนบางคนที่รายงานข่าวว่า
คนเสื้อแดงไปกว้านซื้อเลือดไก่-เป็ด มาจากตลาดสดหลายแห่งใน กทม. แกนนำ
นปช.พูดว่า พวกนั้นมันพูดบิดเบือน ใส่ร้าย
ดูถูกเลือดบริสุทธิ์ของพี่น้องเสื้อแดง  แฟนของจันก็ร่วมตะโกนโห่
และยืนยันว่า เขาบริจาคเลือดจริงๆ จันได้แต่แอบส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
 เธอเห็นขวดใส่เลือดหลายขวดในช่วงที่เดินทางไปเทเลือดที่ทำเนียบ และ
ปชป. เป็นเลือดไก่ เลือดเป็ดชัดๆ เพราะจัน ไปบริจาคเลือดหลายครั้ง
เคยทำลาบเลือดให้ลูกค้าที่ร้านทานเป็นประจำ มองแป็บเดียวก็มองเลือดออก
แล้วเมื่อวานก็เห็นๆกันอยู่ว่า แฟนเอาขวดเลือดไก่ให้เพื่อนไป
และขวดใส่เลือด ก็เป็นขวดแบบที่เห็นถือไปในขบวนไปเทเลือด

           
พอจันบอกเรื่องนี้กับแฟน เมื่อกลับมาที่พัก แฟนหนุ่มก็ด่าเข้าให้
ก็เขาเจาะเลือดก็เห็นกันอยู่และ 3 แกนนำก็เจาะเลือดให้เห็นบนเวที
แล้วก็ยืนยันหนักแน่นว่า ทั้งหมดเป็นเลือดของพี่น้องคนเสื้อแดงจริงๆ
ทุกคนก็เจาะเลือดกันเห็นๆ ถ่ายทอดสดทางทีวีช่องเสื้อแดงอยู่ตลอด


   
        ช่วงที่ 3 เกลอ
เดินมาใกล้ๆบริเวณที่จันนั่งอยู่ แฟนหนุ่มจะดึงจันไปถ่ายรูปกับสามเกลอ
จันก็ต้องทำเป็นกรี๊ด ชื่นชอบ 3 เกลอหัวขวดตามแฟนไปด้วย
พออริสมันต์เดินเข้ามาใกล้ เขาก็พาจันไปขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์
เพราะรู้ว่าจันเป็นแฟนเพลงของอริสมันต์ ซึ่งจันชอบเพลง "ใจไม่ด้านพอ"

            มาอยู่ในกทม.
ได้ 4 วัน เสื้อแดงจากโคราชหลายคนกลับบ้าน จันก็ถามแฟนว่า
เราจะกลับกันได้รึยังอยากกลับไปช่วยพ่อแม่ขายอาหาร
 แต่แฟนหนุ่มยืนยันว่าจะอยู่จนกว่าจะชนะ ไม่ชนะไม่กลับ
 แต่จันอยากกลับบ้านไปทำมาหากิน เบื่อที่จะต้องมานั่งฟังปราศรับ
คอยชูป้าย โบกธงมั่ง  เต้นมั่ง  ตอนเช้าช่วงที่คนน้อย
ต้องรีบมานั่งหน้าเวทีเพื่อจะได้ออกทีวี
ต้องทนนั่งฟังทักษิณวิดีโอลิงค์มาทุกคืน พูดมาประโยคนึงก็ต้องคอยตบมือ
คอยร้องเฮ... เหมือนเป็นจังหวะ ที่จะต้องร้องเฮๆๆๆๆ  จนจันชักเครียด
 เพราะความจริงแล้ว จันเกลียดทักษิณมากๆ แต่ต้องคอยตามใจแฟน
ทำเป็นชอบทักษิณ จนสุดจะทนไหว จันเลยบอกจะกลับบ้าน


            แฟนหนุ่ม เลยพูดอย่างรำคาญว่า งั้นกลับไปก่อน
   
        จันอยากให้แฟนกลับด้วยกัน
แล้วค่อยมาใหม่ก็ได้ ยิ่งคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ดูท่าทางเหมือนจะเป็นไข้หวัด
อยู่ในที่ชุมนุมแบบนี้ ยิ่งจะติดไข้หวัดกันได้ง่ายๆ
ไม่รู้ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 รึเปล่า จันเลยชวนแฟนกลับ
แฟนหนุ่มเลยต่อว่าให้

            "เรากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับพี่น้องเสื้อแดง คนที่มาอายุมากกว่าเรายังอยู่ได้เลย"

   
        จันหยิบ นสพ.มติชน
ที่มีรูปทักษิณกับลูกสาว เดินจูงมืออย่างสุขสบายที่มอนเตรเนโกร
ข้างๆมีรูปคนเสื้อแดง ที่มาต่อสู้ให้ทักษิณ
กำลังนอนหลับริมถนนราชดำเนินกับลูก นอนอย่างลำบาก
            "เราจะต้องสู้เพื่อเศรษฐีที่ออกมาอ้างประชาธิปไตยไปอีกนานแค่ไหน"

   
        แฟนหนุ่มแสดงอาการโกรธขึ้นมาทันที
ด่าว่า อย่าไปเชื่อพวกฝ่ายตรงกันข้าม ถ้ารักเขา ต้องเชื่อเขา

           
จันทนไม่ไหว จึงกลับโคราช มาเล่าให้คุณโอ๋ โคราชฟัง
เล่าถึงความอึดอัดหลายอย่าง เห็นอริสมันต์ปราศรัยด่านายก
พูดถ่อยๆเถื่อนๆอย่างนั้น พอกลับบ้านต้องรีบขนม้วนเทปที่เคยชอบ เอามาทิ้ง
พอมองเห็นรูปปกเทป เลยเหยียบตลับเทปจนแตก


   
        แม้จะกลับมาอยู่บ้าน
แต่จันยังห่วงแฟนหนุ่ม เปิดทีวีช่องเสื้อแดง คอยดูว่า
เขามานั่งใกล้หน้าเวที แต่ก็ไม่เห็น เลยโทรไปหาเขา ชวนเขากลับบ้าน
แต่แฟนหนุ่มยังคงยืนยันในอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย จะอยู่โค่นอำมาตย์
อยู่รอวันยุบสภา แล้วบอกให้จัน กลับมาร่วมชุมนุมด้วยกันที่ กทม.
ถ้ารักเขาจริง จันจึงพูดออกไปว่า

            "ระหว่างจันกับอุดมการณ์ของพี่ พี่รักอะไรมากกว่ากัน ?"
   
        แฟนหนุ่มตอบกลับมาทันทีว่า
"ประชาธิปไตยสิ ไม่มีประชาธิปไตย คนไทยอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีจัน
คนไทยยังอยู่ได้"
            จันถึงกับพูดไม่ออก ไม่นึกว่า แฟนจะตอบแบบนี้  ได้แต่วางสายไป  

           
แต่จัน ก็เศร้าได้ไม่นาน เมื่อแม่เรียกไปช่วยทำอาหารอีสานให้
เพราะลูกค้าเข้าร้านเยอะ ซึ่งหลายคน เป็นคนเสื้อแดงที่พึ่งกลับมาจาก กทม.
หลายคนสั่งอาหารอีสานทั้งส้มตำ ซุปหน่อไม้ แกงอ่อม ปลาเผา มีโต๊ะหนึ่ง
สั่งลาบเลือด พอหลายคนได้ยิน ต่างร้องห้ามกันใหญ่ เพราะไปเทเลือดมา
ปงถุงเลือด จนสะอิดสะเอียน กินข้าวไม่ลงในวันนั้น ทำให้จันนึกถึงแฟน
ในวันนั้น หลังจากไปเทเลือดที่ทำเนียบแล้ว เขาพูดว่าอยากกินลาบเลือดอีก!!!


   
         จันนั่งคุยกับคุณโอ๋ โคราช
ถามว่า เธอผิดไหม ที่แค่นี้ยังรับไม่ได้ ทนเป็นเสื้อแดงกับแฟนไม่ได้
และคิดอยากจะเลิกคบกับเขา

            "ไม่ผิดหรอก ถ้ารับไม่ได้ ไปกันไม่ได้ ก็ไม่ควรโกหกตัวเอง ไม่ต้องฝืนต่อไปอีกหรอก"


ข้อมูล คุณโอ๋ โคราช

+++
ชีวิต,

22 มีนาคม 2553 วันน้ำโลก ....ในวันที่โลกขาดน้ำ กับการเรียกร้องทางการเมือง




            องค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 22 มี.ค. ของทุกปี เป็น "วันน้ำโลก"
ในประเทศไทย กรมทรัพยากรน้ำ กำหนดให้สัปดาห์นี้ เป็น
สัปดาห์แห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (มติคณะรัฐมนตรี  8
ก.ค.2551) เรื่องนี้เป็นข่าวชิ้นเล็กๆที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กัน
รู้แต่ข่าวคนเสื้อแดงและการเมืองใน กทม.เท่านั้น

       
       
            ในขณะที่มีการยื่นข้อเรียกร้องให้ยุบสภา
มีการพูดถึง ไพร่ อำมาตย์ ประชาธิปไตยของประชาชน
 พี่น้องจากภาคอีสานก็โห่ร้อง ประสานเสียง+
มีอารมณ์ร่วมไปกับแกนนำบนเวที นปช. แต่ที่ริมแม่น้ำโขง ชายแดนไทย-ลาว
ระดับน้ำลดต่ำลงจนเดือดร้อนไปทั่ว ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ
ในภาคเหนือและภาคอีสานมีปริมาณเหลือน้อยกว่าปีก่อน
ปัญหาภัยแล้งกำลังทำให้คนไทยเดือดร้อนมากขึ้น
อากาศก็ร้อนจัดจากภาวะโลกร้อน ....ร้อนเป็นบ้า


            มีใครคนหนึ่งบ่นออกมาดังๆว่า
           
" จะต้องเข้า กทม.ไปใส่เสื้อแดง เรียกร้องประชาธิปไตยทำไมวะ
น่าจะไปขอน้ำมาทำนา ขอให้แก้ปัญหาภัยแล้ง ขอให้มีน้ำกินน้ำใช้จะดีกว่า"


   
       
มนุษยฺ์มีความเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือเปล่า
แก่งแย่งผลประโยชน์อย่างไม่ลืมหูลืมตา น้ำที่เคยมีใช้ตลอดปี
วันนี้ต้องขาดน้ำ แม่น้ำโขงน้ำเหลือน้อย เกือบแห้งขอด
 แต่มนุษย์ก็ยังแย่งชิงผลประโยชน์กันต่อไป
อีกไม่นานคงเกิดสงครามแย่งชิงน้ำ
แทนที่การเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับใครบางคน...!!!

            กว่าที่คนไทยจะหันมาร่วมแรงร่วมใจ
ใส่ใจเรื่อง "น้ำ "  บางที อาจจะต้องให้แกนนำเสื้อแดง
ทำการปลุกระดมเรียกร้อง เรื่อง "น้ำ" ล่ะมั้ง ผู้ชุมนุมถึงจะมีอารมณ์ร่วม
ประสานเสียงโห่ร้องเรื่องการอนุรักษ์น้ำ การใช้น้ำ รักษ์และเห็นคุณค่าของ
"น้ำ" เหมือนการเห็นคุณค่า ของ "ประชาธิปไตย"
อย่างที่กำลังเรียกร้องในเวลานี้



   
        แต่ความจริง
หลายคนก็ยังไม่เห็นคุณค่าของ "น้ำ" อยู่ดี
ซื้อน้ำขวดมาดื่มได้ไม่ถึงครึ่งขวด ก็โยนทิ้ง
บางคนจิบน้ำที่เจ้าของบ้านยกมาต้อนรับนิดเดียวพอเป็นพิธี
แล้วน้ำแก้วนั้นก็ถูกเททิ้ง

            และมีการใช้น้ำแบบไม่เห็นคุณค่าอีกหลายแบบ

   
        อากาศร้อน เดี๋ยวก็หนาว
เดี๋ยวก็ฝนตก บางแห่งในโลกเกิดแผ่นดินไหว มีคนล้มตายมากมาย
โลกกำลังจะเอาคืนกับมนุษย์
เพราะคนยังเห็นแก่ตัวและทำลายล้างอย่างไม่จบสิ้น สิ่งที่สำคัญกว่า
กลับไม่เห็นคุณค่า

           
มีคนพยายามพูดเรื่อง "น้ำ" เตือนเรื่อง "น้ำ" เตือนเรื่องภัยธรรมชาติ
สัญญาณจากธรรมชาติ แต่ก็เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ไม่ค่อยน่าสนใจ
เหมือนเรื่อง ไพร่ อำมาตย์ คนเสื้อแดง และประชาธิปไตย


            22 มีนาคม ของทุกปี เป็น "วันน้ำโลก"
            วันที่หลายคน ไม่รู้เรื่องนี้ เหมือนไม่สนใจเรื่องปัญหาน้ำ -การขาดแคลนน้ำ นั่นเอง

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมื่อการ์ด พธม.ตามญาติที่เป็นเสื่อแดงไปร่วมชุมนุมกับ นปช.

            ก่อนถึงวันนัดชุมนุม "เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน" ของ นปช. คุณโอ๋ โคราช ซึ่งเป็นการ์ด พธม. พยายามพูดจาให้น้องชาย ซึ่งเป็นลูกชายของป้าของเขา เปลี่ยนใจไม่ไปชุมนุมกับ คนเสื้อแดง แต่เพราะน้องชายเป็น นปช.เสื้อแดงเต็มตัว จะเข้าไปชุมนุมโค่นอำมาตย์ ร่วมต่อสู้กับพี่น้องเสื้อแดงจนถึงที่สุด
            ยิ่งห้าม.ก็ไม่ฟัง

            เจอหน้าผู้เป็นแม่ ซึ่งเป็นป้าของคุณโอ๋ โคราช เธอไม่ได้ห้ามปราม เพราะห้ามยังไง ลูกชายก็ไม่ฟัง ได้แต่ช่วยเตรียม เสบียง เตรียมข้าวสารใส่ถุง มีปลาร้า เนื้อแห้ง อาหารแห้งหลายอย่างให้ลูกชายไปชุมนุมตามต้องการ เตรียมเสื้อผ้า ยา ของใช้ที่จำเป็นจัดใส่เป้ให้ลูกชาย
            คุณโอ๋ ถึงกับพูดไม่ออก คุณป้าน่าจะพูดให้สติ เตือนไม่ให้ลูกชายไป  ตอนที่พันธมิตรชุมนุม คุณป้าก็เคยเตรียมเสบียงให้คุณโอ๋ เป็นอย่างดี  แล้วคราวนี้ก็เตรียมให้ลูกชายอีก  หรือว่า..คุณป้าเปลี่ยนใจ เป็นเสื้อแดงไปแล้ว

            "ป้าคงห้ามลูกของป้าไม่ได้หรอก  รู้ว่ามันไม่ดี แต่เค้าก็คงหาทางไปชุมนุมกับเสื้อแดงจนได้ ช่วยตามไปดูแลน้องทีเถอะ...."
            ป้าบอกคุณโอ๋ว่า เมื่อห้ามไม่ได้ ก็ควรไปดูแล คอยไปช่วยเหลือ ถ้าหากตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย  คุณโอ๋เลยให้เพื่อนที่เคยเป็นการ์ด พธม. และสนิทกับลูกชายของป้า ตามเขาไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง แล้วจะโทรติดต่อไปทุกๆระยะ

            12 มี.ค. ลูกชายของป้า เข้าไปชุมนุมใน กทม.ด้วยความคึกคัก 13 มี.ค. เจอเพื่อนสมัยเรียนชั้นประถม ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน เลยนั่งกินเหล้าแถวสี่แยกคอกวัว แล้วตามไปพักกับเพื่อนแถวรามคำแหง 15 มี.ค. คนเสื้อแดงยกขบวนไป ราบ11 ลูกชายของป้าก้อยู่ในขบวนมอเตอร์ไซต์ วิ่งไปตามถนนต่างๆ ฝ่าไฟแดง ถือธงทำเท่ไปตลอด พอตอนค่ำ เพื่อนๆของลูกชายป้า ก็กลับไปทำงานโรงงานที่อยุธยา  ลูกชายของป้าเลยเดินตามหาพรรคพวกในม็อบ แต่พรรคพวกที่มาด้วยกัน ไปพักกับญาติพี่น้องแถวพรานนก, คลองเตย, เตาปูนกันหมด โผล่มาชุมนุมวันเดียว แล้วไปพักกับญาติพี่น้อง....

            ลูกชายของป้า ชักเซ็งๆ นึกว่าจะได้ทำอะไรสนุกๆเหมือนตอนสงกรานต์ปีก่อน ได้แต่มานั่งๆนอนๆฟังปราศรัยไปเรื่อยๆ รอแกนนำสั่ง จะให้ทำอะไร ก็จะทำ...
            เพื่อนคุณโอ๋ ที่เป็นการ์ด พธม. ซึ่งตามมาคอยดู ลูกชายของป้า ชักเซ็งๆที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มเสื้อแดง หลายคนมาชุมนุมตามที่แกนนำพามา ไม่รู้อะไรมากนัก นอกจากเรื่องที่แกนนำพูดกรอกหู พอพูดเรื่องอื่นให้ฟัง ก็บอกว่า โกหก หลอกลวง

            อยากให้พี่น้อง หูตาสว่างขึ้นบ้าง ไม่อยากให้ถูกเขาหลอกใช้อยู่ร่ำไป
            อยากกลับบ้าน ก็ยังกลับไม่ได้ บอกว่า ต้องแล้วแต่แกนนำสั่ง

            เพื่อนคุณโอ๋ต้องออกมาดูทีวีที่บ้านของเพื่อนๆแถวเทเวศร์ ถึงได้รับรู้ข้อมูลด้านอื่นๆบ้าง ถ้าอยู่ในม็อบคนเสื้อแดงตลอด เขาก็อาจเคลิ้ม เชื่อข้อมูลของคนเสื้อแดงได้เหมือนกัน..

           

วันเกิด- สะกิดต่อมคิดในสมอง?

            เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิด วันที่หลายคนดีใจที่จะมีคนอวยพรวันเกิด พูดคำว่า Happy Birthday  ให้ บางคนมีงานวันเกิดใหญ่โต บางคนมีเพื่อนพ้องน้องพี่จัดงานวันเกิดให้ทั้งรอบเช้า รอบเย็น

            วันเกิด... เป็นวันแห่งความสุขจริงๆ
            แต่วันเกิดของหลายคน ก็ไม่ต่างจากวันอื่นๆ ในรอบปี ยังคงใช้ชีวิตเหมือนปกติเช่นทุกๆวัน แค่เพียงมีรอยยิ้มแห่งความสุขเกิดขึ้นบนใบหน้า เมื่อเพื่อนพ้องพูดคำว่า สุขสันต์วันเกิด พร้อมคำอวยพรจากใจ หลังจากนั้น ก็ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม

            ครบรอบวันเกิด เด็กหลายคนดีใจที่มีอายุเพิ่มขึ้นอีก 1ปี โตขึ้นแล้วนะ จะเป็นสาวแล้วนะ .. แต่บางคนก็ปลงไปด้วย เพราะอายุที่แก่ขึ้นอีก 1 ปี ยังหาทางลงจากคานไม่ได้ซักที  ไม่มีหนุ่มๆมาจีบเลยสักคน ยังไม่ได้แจ้งเกิดในชีวิตรัก โอย...กลุ้ม...
           
            วันเกิด เป็นหนึ่งในหลายวันของปี เป็นวันที่บอกอะไรได้หลายอย่าง แน่นอนว่า สำหรับคนที่เกิดในวันนั้น เป็นวันที่มีความสำคัญแน่นอน  แต่ถ้ามองอีกมุม  วันเกิดวันนั้น มันสำคัญกับคนอื่นมากแค่ไหน?
            ผ่านมาหลายปี  เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดเวียนมาครบรอบอีกครั้งในแต่ละปี มีใครที่ยังจดจำวันเกิด และคอยอวยพรวันเกิดของเราได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้ทุกๆปี ...มีเหลอือยู่กี่คน

            ...นั่นคือ ...เราเป็นคนสำคัญกับเขา หรือเธอคนนั้นจริงๆ..

            หนึ่งในนั้น คือ พ่อ-แม่ ที่ยังจำวันเกิดของลูกได้เสมอ ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พี่น้องในครอบครัว ถ้าจำวันเกิดของเราได้ เราย่อมเป็นคนสำคัญของเขา ถ้าเรามีคนที่คอยใส่ใจ คิดถึงห่วงใยเราตลอด 5 ปี หรือ 10 ปี หรือนานกว่านั้น ถือว่า เกิดมาคุ้มแล้ว...
            วันเกิด เป็นอีกหนึ่งวันในรอบปี นอกจากการทำบุญ ทำดีในวันเกิดแล้ว มีคนให้สติว่า แล้วในวันเกิด ทำสิ่งต่างๆให้ดีกว่าวันก่อนๆบ้างหรือเปล่า?

            ถ้ามีอายุเพิ่มขึ้น ทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นกว่าเดิม ย่อมเป็นของขวัญที่ดีในการทำให้ชีวิตประจำวันดียิ่งขึ้น พบแต่สิ่งดีๆในชีวิต
            ถ้าทุกวัน เป็นวันที่เกิดสิ่งดีๆตลอดไป ..ตลอดทั้ง 364 วัน ย่อมมีความหมายไม่แพ้วันเกิดเพียง 1 วันในรอบปี

             Happy Birthday !!!!

+ +  +
วันเกิดม ฺ birthday

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

Clip video งานทำบุญฉลองอัฐิอุทิศส่วนกุศลแด่สารวัตรจ๊าบ 6-7 มี.ค.2553

            ถึงแม้ว่าสารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี จะจากพวกเราไปเมื่อ 7 ต.ค.2551 แต่ที่บุรีรัมย์ยังมีคนพูดถึง คิดถึงสารวัตรจ๊าบอยู่ และพึ่งมีการจัดงานทำบุญฉลองอัฐิอุทิศส่วนกุศล แด่ ย่ากงสี, พ.ต.ท.เมธี และ นายประทีป ชาติมนตรี ที่บ้านโนนเจริญ ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ถิ่นฐานบ้านเกิดของสารวัตรจ๊าบ ซึ่งทางคุณพ่อคุณแม่ จัดงานฉลองอัฐิแด่สารวัตรจ๊าบ ไปพร้อมกับย่ากงสีและนายประทีปพร้อมกันเลย ... งานสำคัญแบบนี้ จึงไม่พลาดที่จะไปร่วมงาน

            ดูในกำหนดการจากซองที่ได้รับมา ในงานมีพิธีสงฆ์, การตั้งกองบุญรวมญาติ, ตอนเย็นมีเลี้ยงโต๊ะจีน + การแสดงศิลปะพื้นเมืองจากมหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ แต่เมื่อเดินทางไปยังบ้านโนเจริญ มีการติดป้ายสีเหลือง ชี้บอกเส้นทางไปยัง "งานทำบุญฉลองอัญิของสารวัตรจ๊าบ" เป็นระยะๆ เมื่อเดินทางมาถึงบ้านโนนเจริญในเวลา 1 ทุ่มครึ่ง วันเสาร์ที่ 6 มี.ค.2553  ทางเข้าบ้านที่จัดงาน ตั้งเสาติดหลอดไฟริมทาง หลอดไปเป็นสีธงชาติไทย (แดง-ขาว-น้ำเงิน) เดินเข้าไปเจอเวทีใหญ่ มีโต๊ะจีน จากท่าตูม-สุรินทร์  ตั้งอยู่เต็มบริเวณบ้านและถนนหน้าบ้าน  จัดงานใหญ่เป็นงานสมโภชเลยนี่นา



        พอถึง 2 ทุ่ม พิธีการสำคัญบนเวทีก็เริ่มขึ้น พี่สาวของสารวัตรจ๊าบและพี่น้อย เพ็ญพิมล ใสงาม เป็นตัวแทนของเจ้าภาพขึ้นไปมอบเงินบริจาคให้กับโรงเรียนบ้านโนนเจริญ และพี่น้อยได้กล่าวเปิดใจบนเวทีหลายเรื่อง รวมทั้งความตั้งใจในการทำหนังสือ "ลูกผู้ชายชื่อจ๊าบ" ซึ่งในงานทำบุญฉลองอัฐิครั้งนี้ ได้ทุ่มทุนจัดงาน เพื่อให้ญาติพี่น้อง คนคุ้นเคย และชาวบ้านได้มาพบปะ สังสรรค์ ทำบุญร่วมกัน ด้วยความผูกพัน และได้ทุ่มงบหลักแสนบาท จัดงานครั้งนี้ รวมทั้งได้จัดหนังสือ "ลูกผู้ชายชื่อจ๊าบ" เป็นของที่ระลึกให้กับทุกโต๊ะได้ติดมือกลับไปอ่านที่บ้านด้วย



            หลังจากพิธีการสำคัญเสร็จสิ้นลง มีการแสดงศิลปะพื้นเมืองจาก ม.ราชภัฎบุรีรัมย์ มีทั้งรำกะลา รำมโนราห์ รำบุรีรัมย์ รวมทั้งดนตรีกันตรึม ให้ความสุขสำราญแก่ผู้มาร่วมงานนี้อย่างเต็มที่   ดูคลิปวิดีโอการแสดงศิลปะพื้นเมืองอย่างเต็มอิ่มได้ที่ http://padburiram.wordpress.com/2010/03/06/8-clip-video-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%81%e0%b8%aa%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%b4%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1-%e0%b8%88/




            นอกจากการจัดงานในบริเวณบ้านแล้ว ที่โรงเรียนบ้านโนนเจริญ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านชาติมนตรี  มีมหรสพ ทั้งการปาลูกดอกชิงรางวัล ยิงปืนชิงของรางวัล และหนังกางแปลงให้ดูฟรี บรรยากาศเหมือนงานวัดดีๆนี่เอง ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการจัดงานเพราะความรัก ความผูกพันจริงๆ  ติดตามชมคลิปวิดีโอทั้งหมดได้ที่  http://padburiram.wordpress.com/2010/03/06/hello-world/

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

70 ภาพไปนมัสการพระบรมธาตุนาดูน ในวันมาฆบูชา 2553 กับ 2 สาวจากพนมไพร ร้อยเอ็ด

ปี ๒๕๕๓ ถือเป็นปีที่มีเดือน ๘
สองหน ทำให้วันมาฆบูชาในปีนี้ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔
 วันนี้พุทธศานิกชนต่างเข้าวัดทำบุญตามสถานที่ต่างๆ
และช่วงนี้เป็นช่วงงานเทศกาลนมัสการพระบรมธาตุนาดูน ที่ อ.นาดูน
จ.มหาสารคาม ที่จัดงานในช่วง ๒๐-๒๘ ก.พ.๒๕๕๓ ซึ่งเมื่อราว ๒ สัปดาห์ก่อน
นายบอนเคยชักชวนคุณ "สาวเทศบาล" ที่รู้จักทาง Hi5  ให้หาโอกาสไปทำบุญ
นมัสการ เวียนเทียนรอบพระบรมธาตุนาดูนสักครั้ง
เธอก็แสดงความสนใจที่รู้ข่าว แต่เมื่อ ๒๕ ก.พ. เธอแสดงความสนใจ
ที่จะไปเที่ยวพระธาตุนาดูน บอกว่าจะชวนพ่อแม่ และ
เพื่อนๆไปพระธาตุนาดูนกัน วันที่ ๒๗ ก.พ. ก็โทรไปบอกเธอว่า
ขอติดรถไปพระธาตุนาดูนด้วย เพราะวันที่ ๒๘ ว่าง ไม่ได้นัดใครไว้
เจอกันที่บึงพลาญชัยตอน 9 โมงเช้า
   
        เช้าวันที่ ๒๘ ก.พ. หลังจากคุณ
"สาวเทศบาล" ไปงานบุญที่วัดในเขตเทศบาลพนมไพร แล้ว
ก็ขับรถเข้ามาในตัวเมืองร้อยเอ็ด มากับ เพื่อนรุ่นน้อง .... คุณ "ฝ้าย"
เจ้าหน้าที่เอ็กซ์เรย์ จากโรงพยาบาลพนมไพร
 นายบอนก็ไปรออยู่แถวหน้าป้ายเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
หลังจากที่เธอโทรมาถามว่า ใส่เสื้อสีอะไร รออยู่ตรงไหน
และแล้วรถเก๋งสีเทาทะเบียน "ยโสธร" ก็แล่นมาจอดริมถนน มองเข้าไป
เห็นหน้าคุ้นๆ  คุ้นเพราะเห็นรูปถ่ายของเธอนั่นเอง ใช่แล้ว คุณ
"สาวเทศบาล" เลยเดินขึ้นรถ เธอขับไปออกทางแยกไปวาปีปทุม ผ่านตัวอำเภอวาปีฯ
และตรงไปยัง อ.นาดูน รวมระยะทาง ๖๕ กิโลเมตร

   
        ถึงตัวอำเภอนาดูน เจอรถเยอะจริงๆ
หลายคนก็มาเที่ยวพระธาตุนาดูนเหมือนกัน คุณ"สาวเทศบาล" โทรหา พี่ๆ เพื่อนๆ
ชวนมานาดูน แต่พี่ของเธอที่ทำงานที่วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม
พึ่งเดินทางกลับมาจากสกลนคร ยังไม่หายเหนื่อย เลยขอพักผ่อน
ส่วนเพื่อนอีกคน โทรบอกว่า จะไปช่วงเย็นๆ เพราะช่วงกลางวัน แดดร้อน
ต้องจอดรถไกล เดินไกล สรุปแล้วเลยได้ไปกัน ๓ คน รถติดตรงทางเข้า
แล้วก็ขับรถเข้าไปจอดในที่ให้จอดรถ เสียตังค์ค่าจอด ตั้ง 40 บาท
แต่พอเดินเข้ามาใกล้บริเวณพระธาตุนาดูน บริเวณถัดมา เก็บค่าจอด รถยนต์
คันละ 20 บาท, 30 บาทก็มี  เธอกับฝ้ายถึงกับอึ้ง แหม....
อีกนิดเดียวเอง

       
    คุณ "สาวเทศบาล" บอกว่า ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมาด้วย
ตอนที่มีโอกาสไปไหวัพระเก้าวัดใน กทม. ตอนนั้นไม่ได้เอากล้องไปด้วย
เสียดายที่ไม่มีรูปถ่ายเป็นที่ระลึก
นายบอนเลยเอากล้องไปถ่ายรูปให้เธอซะเลย
และเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาที่พระธาตุนาดูน เลยตั้งใจถ่ายรูปให้เต็มที่




   
        10.32 น. หลังจากจอดรถ จ่ายค่าจอด
และเปลี่ยนรองเท้าแล้ว  ก็กางร่มเดินเข้าไปยังพระบรมธาตุนาดูนทันที
(มองจากถนนทางเข้ามาจากตัวอำเภอ)




   
        10.34 น.
มองเห็นพระบรมธาตุไม่ไกลนัก สองข้างทางมีร้านค้าหลายอย่าง แดดร้อนจริงๆ




   
        10.39 น. ใกล้เข้าไปอีกนิด
ร้านค้าตั้งอยู่รอบๆบริเวณองค์พระธาตุ ผู้คนหนาแน่น เข้าออกบริเวณงาน
คนเยอะจริงๆ










   
            10.43 น. เข้ามาถึงบริเวณพระบรมธาตุแล้ว











   
        10.44 น. รอบๆองค์พระธาตุ จะมีฆ้อง
เรียงรายอยู่รอบๆ หลายคนเข้าแถวตีฆ้อง ตีระฆัง 2 สาวก็ไม่พลาดเช่นกัน
 

















            10.46 น. บางฆ้องมีไม้ตี แต่หลายฆ้อง ต้องใช้มือของตนเองตี

















   
        10.51 น. เข้าไปซื้อดอกไม้
ธูปเทียนในเต็นท์ ชุดละ 10 บาท
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวในหมู่ผู้คนมากมาย


















   
        10.57 น. ได้ดอกไม้ ธูปเทียนแล้ว
ก็เดินเวียนเทียนรอบพระธาตุ 3 รอบ ท่ามกลางแดดร้อน อบอ้าว
เมื่อเจอกล้องถ่ายรูป 2 สาวก็ไม่พลาด ที่จะยิ้ม
แม้จะร้อนอบอ้าวมากขึ้นเรื่อยๆ




   
        11.03 น. เดินครบ 3 รอบ
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว จนเกือบจะเดินไม่ครบ แต่ในที่สุด
ก็เดินเวียนจนครบ 3 รอบสำเร็จตามความตั้งใจ




   
        11.05 น. คุณฝ้าย
ได้ขึ้นไปบริเวณฐานองค์พระธาตุ ไหว้ - อธิษฐาน หน้าองค์พระบรมธาตุ
แล้วปิดทองคำเปลว











   
        11.06 น. มีผู้คนขึ้นไปกราบไหว้
สักการะ อธิษฐาน หน้าองค์พระธาตุมากมาย ต้องรอ ต่อคิว ดังภาพ








   
        11.12 น. หลังจากเวียนเทียนเสร็จ
ก็แวะมาที่เต็นท์ ทำบุญกับพระประจำวันเกิด








            11.16 น. ทำบุญตักบาตรกับปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕



















   
       11.20 น.
ทำบุญ+ผูกข้อมือเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งทั้งสองสาวได้เข้าไปผูกข้อมือ
และหลวงพ่อได้ประพรมน้ำมนต์ให้อิ่มบุญกันเต็มที่ด้วย
















            11.27 น. ทำบุญตักบาตร







   
        11.31 น. ทำบุญ
บริจาคสมทบทุนการจัดงานพระธาตุนาดูน คุณ "สาวเทศบาล" เขียนชื่อ
คุณพ่อ-คุณแม่ ร่วมทำบุญในงานนี้ด้วย











































            11.47 น.ถ่ายภาพที่ระลึกกับพระบรมธาตุก่อนจะเดินทางกลับ





























            14.17 น. กลับมาถึงร้อยเอ็ด มากินข้าวเที่ยง ส้มตำ แกงอ่อม ไก่ย่าง




   
        14.57 น. ทานอาหารเที่ยงเสร็จ
พักเหนื่อยจนมีเรี่ยวแรงแล้ว คุณ "สาวเทศบาล"
ก็ขับรถไปจอดที่วัดหน้าบึงพระลานชัย แวะเข้าไปบริจาคเงิน
หยอดตู้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัด ช่วยค่าน้ำค่าไฟ
เพราะเอารถเข้ามาจอดที่วัดอยู่บ่อยๆ แล้วก็พาคุณฝ้าย ไปดู
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ที่บึงพลาญชัย
และพาเดินไปตามทางริมบึง พาไปไหว้ศาลหลักเมืองร้อยเอ็ด
แล้วก็มานั่งเสี่ยงเซียมซีดังภาพ ก่อนที่จะแยกย้ายเดินทางกลับพนมไพร